ตอนที่9 เจ้าบ่าวอยู่หนใด?
ที่หน้าประตูเรือนชั้นนอกของเรือนหอ
รอบด้านยังคงเป็นค่ำคืนยามราตรี หากแต่กลับสว่างไสวยิ่งนัก ด้วยโคมไฟสีมงคลยังคงส่องแสงอยู่เต็มไปหมด
ใบหน้างดงามโดดเด่นของโม๋เอ๋อร์หันซ้ายแลขวา มองหาเป้าหมายแห่งตนอย่างแน่วแน่มั่นคง
เจ้าบ่าวอยู่หนใด จงมาเข้าหอกับข้าเดี๋ยวนี้!!!
หญิงสาวคิดในใจอย่างหมายมาด ดวงเนตรกลมโตสดใสทอประกายกระหายวาบ
ทันใดนั้นพลันมีเสียงกระซิบหนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากมุมเฉลียงของเรือน
“ข้ารู้สึกน่าเห็นใจพระชายาเหลือเกิน” เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังออกว่า เวทนาอย่างแท้จริง
“ทำไมหรือ?” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบาหวิว
“คืนนี้เป็นคืนมงคลแท้ๆ แต่รัชทายาทเลือกเดินเข้าเรือนอนุแทนเข้าหอกับเจ้าสาวนี่ปะไร”
“โอว...”
“เมื่อครู่ข้าเดินผ่าน เห็นเงาเลือนรางของรัชทายาทกับอนุนางนั้นแนบชิดสนิทสนมยิ่ง”
“อา...”
ถึงแม้เสียงสนทนาจะแผ่วเบา และอยู่ในมุมลับตา หากแต่โม๋เอ๋อร์กลับได้ยินชัดเจนยิ่ง
หยูเสวี่ยก็ได้ยินเช่นกัน ช่วงพิธีการหลังจากเปลี่ยนตัวกับโม๋เอ๋อร์ นางที่เป็นเพียงสาวใช้อยู่รอบนอก ได้มีโอกาสพินิจ ทุกสิ่งและทุกคนภายในงาน ได้เห็นรัชทายาทหมิงเฉิงเต็มสองตา
หญิงสาวไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าเขาเป็นบุรุษที่หล่อเหลาเป็นอย่างมาก มีเสน่ห์ตรึงใจไร้ขีดจำกัด ใบหน้าเรียวแกร่งมีดวงตาเรียวคมที่มองกราดทุกคนอย่างลึกล้ำทรงพลัง จมูกโด่งเป็นสันตั้งตรงแสดงถึงความเฉียบขาด ริมฝีปากบางสีแดงสดบ่งบอกได้ว่าคงเป็นบุรุษที่มีความสุดยอดแห่งจุมพิต
เครื่องหน้างดงามเหนือบุรุษทั้งหลาย ทุกสิ่งไร้ที่ติเหลือเกิน ท่าทางงามสง่าสูงส่งไม่ธรรมดา เปี่ยมอำนาจบารมีท่วมท้น
ทว่าสายตาคมดำประหนึ่งก้นทะเลสาบคู่นั้นกลับเย็นเยียบน่ากลัวและมีท่วงท่าเย็นชาตลอดเวลา เพียงเขาปรายตามองไปทางใด ผู้คนทางนั้นล้วนพากันทำสีหน้าประหวั่นสั่นสะพรึงโดยง่าย
เรือนกายสูงใหญ่ของเขาแผ่ไอสังหารเข้มข้น ทั้งดำทะมึนแลดูถมึงทึงน่าเกรงขามไปทุกส่วน มองแล้วให้รู้สึกครั่นคร้ามและน่ากลัวยิ่งนัก
หยูเสวี่ยยังมีโอกาสได้เห็นสาวงามหลายนาง ซึ่งคาดว่าคงเป็นบรรดาอนุชายาของเขา พวกนางพากันมายืนเรียงรายมากมายเหลือเกิน แววตาแต่ละนางราวกับจะฉีกทึ้งกินคนได้
คุณหนูในคราบสาวใช้รู้สึกพรั่นพรึงยิ่งยวด และยิ่งได้ยินประโยคที่ว่า รัชทายาทหนุ่มมีอนุคนโปรดที่รักใคร่พึงใจอยู่แล้ว ก็ยิ่งหวั่นใจหนักหนา
เมื่อสิ้นเสียงนินทาปริศนาตรงมุมเฉลียงของเรือน โม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยจึงยืนนิ่งแข็งค้างอยู่หน้าประตูเรือนหอ ได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างเงียบงัน
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่วั่นหรงกลัวเกรงเป็นที่สุด ว่าจะเกิดกับบุตรสาวคนสำคัญ ซึ่งหยูเสวี่ยนั้นย่อมรู้ใจมารดา เพราะว่านางเองก็ไม่ต้องการตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตำแหน่งภรรยาเอกของใครทั้งนั้น
เป็นความจริงที่หญิงสาวไม่อาจไม่ยอมรับว่า ตัวของนางเองก็เห็นแก่ตัว จึงได้ยินยอมทำตามแผนของมารดาด้วยอ้างถึงกตัญญู โดยการส่งให้โม๋เอ๋อร์แต่งงานแทนตน
เรื่องนี้หยูเสวี่ยก็รู้สึกผิดไม่น้อย นางจึงเอื้อมมือมาลูบไหล่โม๋เอ๋อร์เบาๆ แล้วเลื่อนลงมาจับกุมมือเรียวยาวขาวผ่องของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น
หญิงสาวส่งผ่านความรู้สึกผิดจากใจทางแววตา หากแต่ความเห็นแก่ตัวยังคงฉาบทับอยู่ภายในก้นบึ้งลึกลับแห่งจิตใจอย่างแน่นหนา
ข้าขอโทษนะโม๋เอ๋อร์ แต่ข้าเอาชนะใจตนเองมิได้จริงๆ ข้าไม่ต้องการตกอยู่ในสภาพเฉกเช่นมารดา ที่มีสามีมากภรรยาและรักใคร่สตรีอื่นมากกว่าข้า
ถ้อยคำรำพึงรำพันนั้น หยูเสวี่ยเพียงนึกคิดอยู่ในห้วงภวังค์แห่งตน แต่หาได้เปล่งวาจาใดให้อีกฝ่ายฟังไม่
และโม๋เอ๋อร์เองก็ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งนั้น นอกจากเสียงกระซิบจากมุมเฉลียงในยามนี้
“พระองค์ทรงโปรดปรานอนุนางนั้นเสียจริง ข้าได้ยินว่าทรงรักกันด้วยใจแท้มาเนิ่นนาน” เส้นเสียงแผ่วจางดังเล็ดลอดมาอีกคราจากเฉลียงมุมเดิม
“อา...ใครก็คงมิอาจแทรกกลางระหว่างพวกเขาได้ แม้แต่เจ้าสาวแห่งค่ำคืนนี้”
“จริงแท้...”
สิ่งที่โม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยคาดไม่ถึงก็คือ เสียงนั้นล้วนเป็นของสาวใช้ที่ถูกส่งมาจากเรือนของอนุนางหนึ่ง ที่ริษยาพระชายาในรัชทายาทแห่งค่ำคืนนี้
และประโยคที่เอ่ยออกมาจากปากพวกนาง ก็ถูกตระเตรียมเอาไว้อย่างดี เพื่อที่จะบั่นทอนกำลังใจ หมายข่มขวัญศัตรูหัวใจอย่างเจ้าสาวแห่งคืนมงคล ว่าต่อให้เป็นถึงพระชายา แต่หากมิได้ครองใจรัชทายาท ก็หาได้มีความหมายอันใดไม่
เสียงกระซิบยังคงดังจากมุมเฉลียงให้ได้ยิน
“เช่นนี้ พระชายาของรัชทายาทควรต้องรู้เอาไว้ ว่าผู้ใดกันแน่ที่อยู่ในใจของเจ้าแห่งตำหนักบูรพา”
“เรายุ่งได้หรือไร?”
สิ้นเสียงคล้ายเห็นใจก็ตามด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบาคล้ายสมเพชกัน
บนใบหน้างดงามพิลาศล้ำมีดวงเนตรกลมโตกระจ่างใสกะพริบปริบๆ สองที พาแพขนตาดำหนางอนยาวคล้ายปีกผีเสื้อกระเพื่อมไหวเบาๆ โม๋เอ๋อร์พลันเข้าใจได้ไม่ยากว่า
ที่แท้เจ้าบ่าวของนางก็อยู่กับหญิงอื่นนี่เอง!
ว่าแต่ เรือนของอนุนางนั้นอยู่ทางใดหนอ นางต้องการไปทวงคนของนางคืน
โฉมสะคราญในอาภรณ์สีแดงมงคลจึงพลิกกายระหง เดินไปทางมุมเฉลียง ที่ได้ยินเสียงกระซิบเมื่อครู่ทันที เพื่อถามไถ่ให้แน่ชัด ว่าจะไปล่อลวงเจ้าบ่าวให้กลับมาจากเรือนใด?
แต่เมื่อเดินมาถึงจึงได้พบเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาเจ้าของเสียงนั้นเสียแล้ว
หึ! หายหัวไปแล้วรึ! ไม่เป็นไร ข้าเดินหาเองก็ได้!
เรียวขางามใต้ชายผ้าสีแดงว่องไวเท่าทันความคิดยิ่งนัก โม๋เอ๋อร์หมุนกายจนอาภรณ์พลิ้วสะบัดก้าวเท้าฉับๆ ออกนอกเรือนทันที
หยูเสวี่ยเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ร้องร่ำในใจว่าแย่แล้ว...
บนชั้นสองของเรือนหมิงเสียง
เงาร่างสูงใหญ่ดำทะมึนเดินเข้ามาภายในห้องส่วนตัวแล้วถอดชุดสีแดงมงคลเหวี่ยงออกไปให้พ้นตัวไร้การใส่ใจอย่างสิ้นเชิงกับค่ำคืนเข้าหอ ก่อนหยิบชุดกลางสีดำตัวโปรดมาใส่แทน
หมิงเฉิงเดินมาหยุดที่โต๊ะกลมริมหน้าต่าง ตรงนั้นมีกาหยกบรรจุสุราชั้นดีและจอกหยกเข้าชุดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ
ชายหนุ่มรินสุราใส่จอกแล้วยกขึ้นดื่มอย่างเงียบงัน พลางยืนพิงกรอบหน้าต่างที่เปิดอ้ารับแสงจันทร์ยามลมเหมันต์พัดผ่าน
เดิมทีคืนนี้คือค่ำคืนแห่งการเข้าหอกับพระชายาที่ตบแต่งเข้ามาเมื่อไม่กี่ชั่วยาม ทว่าคืนนี้กลับเป็นคืนเดือนเพ็ญจันทร์งามเด่นส่องแสงเรืองรอง ทำให้หมิงเฉิงไม่มีอารมณ์ร่วมอภิรมย์กับสตรีใดทั้งนั้น
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการอันเป็นมงคล ชายหนุ่มจึงเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวโดยไม่คิดจะย่างกรายไปที่อื่นใด
วันนั้นเมื่อแปดปีตอนเขาอายุสิบเจ็ดและสามปีก่อนตัวเขาอายุยี่สิบสอง เขาที่บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ได้รับการช่วยเหลือจากแน่งน้อยปริศนา หลับใหลไปมิรู้ว่านานเท่าใด
หากแต่เมื่อตื่นลืมตาอีกครา กลับพบเพียงความว่างเปล่าเงียบงัน
ท่ามกลางป่าเขาแห่งค่ำคืนมืดสลัวเยียบเย็น มีเพียงเงานางที่ลางเลือนเหลือเกิน
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นเล็กน้อย สายตาคมเข้มดำสนิทไร้ก้นบึ้งจ้องนิ่งตรึงที่ดวงจันทร์บนนภากว้างยามราตรีกาล
ลำตัวสูงใหญ่สง่างามยังคงยืนนิ่งอิงกรอบไม้ริมหน้าต่างฝ่ามือใหญ่คลึงจอกเหล้าในมือ แขนข้างหนึ่งไพล่อยู่ทางด้านหลัง ท่าทางองอาจทระนง มั่นคงดั่งขุนเขาไท่ซาน
จิตใจในอกแกร่งก็หนักแน่นเช่นกัน
แหงนหน้ามองจันทรา พินิจฟ้าดาราเร้น
เดือนเพ็ญจันทร์งามเด่น ทว่าบีบเคล้นรัดรึงใจ
คืนนั้นก็เช่นนี้ จันทร์ดวงนี้สว่างไสว
ครั้นตื่นมาแล้วหลับไป
เห็นเพียงเจ้าดั่งเงาใจ เร้นจันทรา…
เรือนร่างสูงศักดิ์แผ่กำจายความเย็นชาที่ฉาบทับความคะนึงหาไร้ที่สิ้นสุด ยามนึกถึงเจ้าของสร้อยเถาวัลย์เขี้ยวงาม แววตาคมกล้าทอประกายวูบวาบก่อเกิดคลื่นหวั่นไหว ในห้วงคำนึงหนึ่งอยากตัดใจแต่ไม่อาจทำ
