บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 หญิงชายไม่ควรใกล้ชิด

เมื่ออวี้เฟิ่งสอนเล่าเด็กน้อยนางจึงเลือกเดินเท้าเข้าทางลัดเลาะป่าเพื่อสำรวจเส้นทางว่ามีโจรป่าอยู่แถวนี้หรือไม่ การเดินทางของนาง นางเดินมาได้สักพักมองเห็นเงาตะคุ่มตรงพุ่มไม้ นางจึงหยิบกระบี่ของนางที่พกมาด้วยหมายจะปักลงบนพื้น ทว่ากลุ่มชายปริศนาเข้ามาล้อมนางไว้ อีกทั้งปิดหน้าไว้ด้วย นางคิดว่าน่าจะเป็นพวกโจรที่ไม่ใช่คนในพื้นที่ตรงนี้

“แม่นางงดงามเยี่ยงนี้ เจ้าสนใจเป็นเมียของพวกข้าหรือไม่”

เมื่ออวี้เฟิ่งได้ยินเช่นนี้ นางจึงหยิบกระบี่ของตนที่ปักอยู่ที่พื้น เข้าสู้โดยไม่คิดชีวิต กระบี่ของนางฟาดใส่ชายแปลกหน้าด้วยความชำนาญ

อีกฟากหนึ่งของป่าต้าหวางทรงควบม้าทรงสีขาว ไล่ล่ากวางป่าอย่างไม่ลดละ ทว่าม้าทรงของต้าหวางไม่ได้วิ่งไปทางกวางป่า แต่กลับวิ่งไปอีกทางจนทำให้ต้าหวางรู้สึกแปลกพระทัย ทั้งตีทั้งบังคับม้าของพระองค์ แต่กลับวิ่งไปไม่คิดชีวิต จนพระองค์ปล่อยให้ม้าควบฝีเท้าเอง

ในที่สุดต้าหวางได้สดับเสียงกระบี่กำลังปะทะกัน อีกทั้งได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคนในบริเวณนี้ เมื่อทรงเข้าใกล้บริเวณเสียงต่อสู้ ได้ปรากฏชายสามคนใส่อาภรณ์สีดำสนิท อีกทั้งมีผ้าอำพรางใบหน้า อีกทั้งคนตรงกลางที่กำลังสู้เป็นตาย คือ อิสตรีอาภรณ์ชาดที่อยู่ตรงกลาง ต้าหวางทรงก้าวลงจากม้าทรงอย่างว่องไว ทรงชักกระบี่เข้าหาชายอาภรณ์ดำ เมื่อพระองค์ชักกระบี่ออกมาชายสองคนเข้าสู้กับพระองค์ อวี้เฟิ่งเห็นมีคนช่วยยิ่งฮึกเหิม จ้วงกระบี่แทงชายชุดดำตรงหน้าทันที ชายชุดดำจึงสิ้นใจ ต้าหวางกำจัดชายชุดดำตรงหน้าตายหมด เหลือเพียงคนเดียวที่วิ่งจาก ทรงไม่รอให้ชายผู้นั้นวิ่งจากไป ทรงน้าวศรยิงใส่ชายคนที่วิ่งไปปักกลางหลังตายในทันที อวี้เฟิ่งมองต้าหวางที่ตรงหน้าของนาง นางจึงเอ่ยขอบคุณพระองค์ทันที

“ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ ข้าอยากทราบนามของผู้มีพระคุณว่าท่านมีนามว่าอะไร”

“เฉินเป่ยเยว่”

“เฉินเป่ยเยว่?”

อวี้เฟิ่งคิดในใจว่า เฉินเป่ยเยว์ ชื่อนี้ช่างคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก พอนางมองใบหน้าที่งดงามเหนือบุรุษใดที่เคยพบพาน เมื่อดูให้ดีอย่างถี่ถ้วนด้วยว่า พระขนงนั้นดำนิลกาฬ พระเนตรสุกสกาวในยามค่ำคืน พระนาสิกเป็นสัน ริมพระโอษฐ์หนาอวบอิ่มออกสีชาดแต่งเติมเล็กน้อย หญิงสาวอดชื่นชมในความงามของพระองค์ไม่ได้

ทว่านางรู้ตัวอีกที ต้าหวางกลับย่างพระบาทหนีนางเสียแล้ว อวี้เฟิ่งวิ่งไปหาพระองค์ แล้วจับจับพระหัตถ์ของพระองค์ทันที ทำให้ต้าหวางทรงตกพระทัยอย่างมาก แต่ไม่ได้สะบัดพระหัตถ์ออกจากมือของนาง อวี้เฟิ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ท่านจะไปไหน ท่านไม่ได้อยู่แถวนี้เป็นแน่”

“ข้าจะกลับเมืองฉางเทียน”

“ฉางเทียน เป็นเมืองหลวงของแคว้นเฉิน อย่างท่านคงเป็นขุนนางหรือไม่ก็พ่อค้า” มองวิเคราะห์บนพระวรกายอย่างถี่ถ้วน มองมายังมือตัวเอง จึงรีบปล่อยโดยทันที ด้วยความเขินอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทว่าพระองค์ทรงกลับย่างพระบาทหนีนางอีกครั้ง หญิงสาวเดินตามต้าหวางอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่พระองค์ทรงกลับหยุดเสียงดื้อๆ จนนางชนกับพระขนอนอย่างจัง อวี้เฟิ่งนางยังได้กลิ่นกำยานชั้นสูงเขา เรียกว่า กลิ่นไม้จันทน์ขาว พระองค์ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรมองนางแล้วเอ่ยถาม

“เจ้ามีอะไรอีกหรือ”

“เปล่าๆ บ้านข้ากลับทางนี้ เราเดินกลับไปพร้อมกันนะ” อวี้เฟิ่งยิ้มกว้างให้ต้าหวาง พระองค์จึงทรงหันพระพักตร์ทอดพระเนตรมองตรงไปทางอื่น แล้วส่งสัญญาณด้วยการผิวพระโอษฐ์ให้ม้าทรงวิ่งมา ม้าทรงขาวสวยสะอาดตาวิ่งมาโดยทันที ต้าหวางทรงไม่รอช้าที่จะขึ้นม้าทรง ต้าหวางทรงส่งพระหัตถ์ให้นางจับขึ้นมาบนม้าทรงเดียวกัน อวี้เฟิ่งจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเขินอาย

“หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน ยิ่งคนแปลกหน้ายิ่งไม่ได้ เตี่ยข้าสอนเอาไว้”

“เช่นนั้นเจ้าก็เดินแล้วกัน” ต้าหวางทรงพระดำรัสเช่นนี้ แล้วจึงควบม้าหมายจะจากไป อวี้เฟิ่งจึงตะโกนขึ้นเสียงดัง

“ท่านจะทิ้งให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นข้า เดินไปเช่นนี้ ขณะที่ท่านนั่งขี่ม้าเช่นนั้หรือ”

“ก็ข้าส่งมือให้เจ้า เจ้ากลับบอกว่า หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน ยิ่งคนแปลกหน้ายิ่งไม่ได้”

“คนอะไรขี้น้อยใจเหลือเกิน” อวี้เฟิ่งเอ่ยแผ่วเบา จนพระองค์ไม่ได้ยิน ต้าหวางทรงเอ่ยถาม

“เจ้าว่าอย่างไรนะ"

“เปล่าไม่มีอะไร” อวี้เฟิ่งส่งตัวเองขึ้นม้าอย่างทุลักทุเล ต้าหวางทรงหวังลองเชิงนาง แต่นางขึ้นม้าไม่ได้เสียที จึงทำให้เสียเวลากลับค่าย พระองค์จึงจับมือของนางขึ้นมาบนม้าทรงทันที หญิงสาวจึงได้นั่งบนอานม้าตรงด้านหน้าของพระองค์ แล้วจึงทรงจับบังเหียน บังคับไปด้านหน้า อวี้เฟิ่งจึงเอ่ยขึ้น

"บ้านข้าคือจวนเจ้าเมือง ท่านไปส่งข้าที่หน้าจวนด้วยนะ”

อวี้เฟิ่งกล่าวจบ เขาไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ยังคงควบม้ายาวไกลไปจนถึงจวนเจ้าเมือง ขณะที่หิมะเริ่มโปรยปราย

“อวี้เฟิ่งนางเหลวไหลใหญ่แล้ว ดึกป่านนี้ยังไม่กลับอีก อีกทั้งต้าหวางมาในเขตอุทยานยังทรงหายไปอีกนั้น ให้กองกำลังของเราตามหาต้าหวางอีก ท่านหย่งเยี่ยท่านไม่ต้องกังวลไป ใต้เท้าจ้าวก็ออกตามหาด้วย” เสียงกระวนกระวายใจของเจ้าเมืองฉู่หวั่น ทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกได้ ลูกก็หายไป อีกทั้งต้าหวางหายในเขตพระราชฐาน ขณะทรงประพาสล่าสัตว์

“ใต้เท้าไป๋ ข้ากระวนกระวายใจไม่ต่างจากท่าน แต่ท่านนั่งลงก่อนเถิด” หย่งเยี่ย มหาขันทีแห่งแคว้นหยางเอ่ยด้วยความร้อนใจ ซึ่งเขาเองก็เดินไปเดินมาสลับกัน กับใต้เท้าไป๋ หลังจากนั้นไม่นานนัก พ่อบ้านเดินเข้ามาด้วยความดีใจ

“นายท่านทั้งสอง ต้าหวางกลับมาพร้อมกับคุณหนู”

“ใต้เท้าเชิญ” หย่งเยี่ยผายมือให้กับอดีตแม่ทัพใหญ่เดินออกไปก่อน

ไป๋เจิ้นกับหย่งเยี่ยรีบก้าวเดินลงบันไดหน้าประตูทางเข้าบ้าน ต้าหวางยังคงอยู่บนหลังม้าทรงกับหญิงสาวที่หลับซุกอยู่ในพระอุระของต้าหวาง เมื่อไป๋เจิ้นไปถึงตัวพระองค์จึงหมายถวายบังคม ต้าหวางทรงยกมือขึ้นไม่ให้เหล่าขุนนางส่งเสียงดัง ต้าหวาง ทรงจึงอุ้มตัวอวี้เฟิ่งลงจากหลังม้าทรง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์แผ่วเบา

“ห้องของนางอยู่ที่ไหน”

“อยู่ด้านในพระเจ้าค่ะ”

เมื่อไป๋เจิ้นกล่าวเช่นนี้ ต้ากวางทรงเสด็จเข้าไปด้านในจวนเดินผ่านระเบียงคตเข้าสู่เรือนด้านในสวน สาวใช้สองคนจึงเปิดประตูให้ พานางวางลงเตียง พอวางนางลงเตียง นางกลับจับพระภูษาตัวนอกของพระองค์ไม่ปล่อย อีกทั้งยังกล่าวตัดพ้อในอาการระคนละเมอ

“เป่ยเยว่ ท่านหัดพูดกับคนเขาดีๆ หน่อยได้หรือ เอาแต่ขี้น้อยใจ ไม่พูดจาเดินหนีอย่างเดียว ท่านเป็นคนประเภทไหนกันแน่” อวี้เฟิ่งพูดเช่นนี้ ต้าหวางทรงแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย แล้วทรงจับมือของนางให้ปล่อยจากพระภูษา แล้วจึงหุบแย้มพระโอษฐ์ ทรงหันพระพักตร์ไปหาไป๋เจิ้นกับหย่งเยี่ย

“ไปคุยที่อื่น”

ไป๋เจิ้นจึงนำทางเดินไป ต้าหวางจึงทรงก้าวย่างพระบาทดำเนินตามเขาที่เดินเรียบข้าง ส่วนหย่งเยี่ยก้าวเดินด้านหลังของต้าหวาง

อย่าลืมเม้นท์และมอบหัวใจ เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel