chapter8-3
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้แม่สาวนักดนตรีนั้นหอบข้าวของมาอาศัยบ้านของเขาชั่วคราวซึ่งทางด้านของพี่สาวของเขานั้นเธอไม่ได้ว่าอะไรหากเขาอนุญาตดังนั้นคานาเดะจึงได้อาศัยห้องเก็บของคุณแม่เขาเป็นที่นอนไปชั่วคราว
ส่วนทางด้านของเรย์นั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมากในเรื่องนี้นักเพราะคิดเพียงแค่ว่ามันเป็นอุบัติเหตุเช่นเดียวกับแม่สาวนักดนตรีด้วยนิสัยส่วนตัวของเธอทำให้ไม่ได้สนใจอะไรมากนักและกลับไปจดจ่อกับดนตรีของคุณแม่ที่อยู่ในแผ่นเสียงมากกว่าแต่ยังดีที่เจ้าตัวยอมลงมาทำงาน
“โอ้ ว่าไงอลัน คาซึกิไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่เลย ไปทำภารกิจกับหน่วยอื่นมาเป็นไงกันบ้าง” หลังจากที่หายหน้าหายตากันไปหลายวันในที่สุดเจ้าสองหน่อที่ไปทำภารกิจกับหน่วยอื่นก็กลับมาจนหน่วยสี่กลับมาพร้อมหน้าในที่สุด
“ก็ถือว่าโอเคละนะ” เพราะการได้ไปทำภารกิจร่วมกันในครั้งนี้ทำให้คาซึกิได้เพื่อนใหม่อย่างโคสุเกะที่แม้จะไม่ได้สนิทกันมากแต่เธอค่อนข้างจะชอบในนิสัยที่ชอบแสดงอะไรออกมาตรงๆแบบนั้นพอควรเลยทีเดียว
“ก็สนุกไปอีกแบบนะครับ ถึงจะเหนื่อยไปหน่อยและรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยได้ทำอะไรก็เถอะ” หากไม่นับว่าตนแทบไม่ได้ทำอะไรในภารกิจนี้ก็นับว่าดีเลยทีเดียวแม้จะเหนื่อยใจนิดหน่อยกับอาการงองแงของเซจิโร่ก็ตาม
“แต่วันนี้ลุงแกมีภารกิจอะไรอีกละ ถึงขั้นต้องเรียกพบแบบนื้” ที่พวกเขามารวมตัวกันได้นั้นอันที่จริงมันเป็นเพราะการเรียกเขามาพบที่กองเลยถือโอกาสนัดเจอคนอื่นไปด้วยแม้จะแปลกใจนิดหน่อยว่าจะเรียกมาที่นี่ทำไมก็เถอะ
เป็นการกระทำที่ขาดคำว่ามารยาทเช่นเคยเพราะเขาไม่ได้ใช้มือเปิดแต่อาศัยเท้าช่วยในการเปิดประตูแถมยังถีบไปซะเต็มแรงจนราวกับอยากให้ประตูหลุดออกมาแต่เมื่อเห็นว่าประตูยังคงดีดังเดิมก็อดส่งเสียงขัดใจเล็กๆไม่ได้
“ช่วยเลิกเปิดประตูด้วยขาหลังของแกซักทีเถอะฟะ เจ้าเรย์” นับว่ายังเป็นบุญที่เจ้าเรย์เป็นผู้ใช้มนตราไม่ได้มีพลังพิเศษเป็นพลังวัตรมิเช่นนั้นแล้วละก็แรงถีบเต็มเท้าของเจ้านั่นคงมากพอจะอัดประตูให้หลุดมากระแทกเขาที่อยู่เบื้องหลังประตูได้เลย
“เรย์ มันเสียมารยาทนะครับ” แม้จะบอกไปไม่รู้กี่ครั้งแต่เขาก็คิดว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรเพราะเจ้าหัวหน้าหน่วยของเขาคงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนเดิมแต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นความเคยชินไปแล้วที่เขาจะต้องออกปาก
“โอ้ ไง เอย์จินายก็ถูกเรียกตัวมาเรื่องอะไรเหรอ” เขาอดแปลกใจนิดหน่อยไม่ได้เพราะตามปกติแล้วเขามักถูกลุงแกเรียกตัวมาด่า(แน่นอนว่าเขาไม่เคยจะใส่ใจฟัง)ทำนองนี้เสียมากแต่กับเพื่อนของเขาคนนี้นั้นมันเป็นทหารมนตราตัวอย่างเลยด้วยซ้ำได้รับเหรียญต่างๆชมเชยมากจนแทบจะเอาไปถมท่อหลังบ้านได้เลย
“ฉันมีภารกิจที่อยากจะขอให้หน่วยที่สี่ของนายไปด้วยน่ะ” คำพูดของเจ้าเพื่อนสมัยเด็กทำเอาเรย์อดแปลกใจไม่ได้เพราะตามปกติแล้วระดับหัวหน้าหน่วยนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆจะไม่ยอมขอความช่วยเหลือใครโดยเด็ดขาดพวกเขามีศักดิ์ศรีมากพอจะทำงานให้เสร็จด้วยตนเอง
แต่ข้อยกเว้นก็ใช่ว่าจะไม่มีอย่าเซจิโร่ที่เจ้าตัวเด็กที่สุดแถมยังไม่ได้คิดอะไรมากในเรื่องพวกนี้แต่ดันมีเจ้ารองหัวหน้าที่คัดค้านในการขอความช่วยเหลือบ่อยๆกับอีกคนก็คือเอย์จิที่ค่อนข้างจะให้ความจริงกับภารกิจที่ตนได้รับมอบหมายสูงมาก
สำหรับเอย์จิแล้วสิ่งสำคัญไม่ใช่ศักดิ์ศรีหากแต่เป็นหน้าที่ถ้าเป็นภารกิจไหนที่เขาไม่มั่นใจเขาจะขอความร่วมมือจากหัวหน้าหน่วยคนอื่นหรือหน่วยงานต่างๆให้ช่วยด้วยซึ่งผิดกับลักษณะหัวหน้าหน่วยโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภารกิจไหนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนเอย์จิจะขอร้องโดยไม่ลังเลเลยทีเดียว
“ตัวภารกิจเป็นแบบไหนล่ะ” ลองขอร้องมาทั้งทีแถมคนขอร้องยังเป็นเอย์จิเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้แต่ถึงแบบนั้นด้วยตำแหน่งหัวหน้าที่มันค้ำอยู่ทำให้เขาไม่อาจตอบตกลงได้ในทันทีเพราะมันอาจทำให้คนในหน่วยต้องได้รับอันตรายได้ก่อนที่เอกสารสามชุดจะถูกยื่นให้พวกเขา
“ภารกิจของเราคือทำลายองค์กรค้ามนุษย์และช่วยเหลือตัวประกัน แต่จำนวนของพวกมันมีมากเกินไปถ้าพ่วงเงื่อนไขที่ช่วยตัวประกันด้วยแค่หน่วยที่สองของฉันคงมีอัตราทำสำเร็จต่ำ” เป็นภารกิจที่หนักหนามากเลยทีเดียวในบรรดาภารกิจทั้งหมดที่มีนั้นภารกิจในแนวทางช่วยเหลือตัวประกันเป็นสิ่งที่ยากเย็นที่สุดแล้ว
อันที่จริงแล้วถ้าเป็นแค่งานกวาดล้างแค่หน่วยสองก็กินขาดแต่ถ้าหากรวมการช่วยตัวประกันมาด้วยมันก็มีความเสี่ยงจะไม่สำเร็จที่สูงเอาการนั่นทำให้เอย์จิตัดสินใจขอให้หน่วยที่สี่ของเขาเข้าร่วมภารกิจด้วยซึ่งภารกิจแนวนี้หน่วยของพวกเขาเหมาะสมที่สุดแล้ว
“ฉันขอถามความเห็นพวกนายก่อนแล้วกันจะเอาไง อลัน คาซึกิ” หากให้เขาเลือกเขาย่อมตอบตกลงแน่นอนแต่คนอื่นเขาไม่แน่ใจเท่าไหร่นักกับอลันเขาอาจจะพอเดาคำตอบได้เลาๆเพราะรายนี้คงไม่ยอมให้เด็กถูกทารุณกรรมแน่นอนแต่คาซึกิเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ผมเอาด้วย ผมไม่มีวันยอมปล่อยให้พวกมันทำอะไรเด็กๆ ได้เด็ดขาด” และแน่นอนคำตอบของอลันก็เป็นดังที่เขาคาดเดาสำหรับคนรักเด็กอย่างอลันไม่มีอะไรที่ทำให้เจ้าตัวโกรธมากไปกว่าการที่พวกนี้จับเด็กไปขายอีกแล้ว
“ฉันก็เหมือนกัน” เธอตอบตกลงเช่นเดียวกันเพราะเธอก็ทนดูอยู่เฉยๆไม่ได้แน่นอนแม้จะไม่ต้องมีใครมาบอกแต่หากได้มีโอกาสช่วยเหลือคนเหล่านี้เธอจะตอบตกลงอย่างไม่ลังเลส่วนเรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้มกว้าง
“โอเค หน่วยที่สี่ยินดีทำภารกิจร่วมกันหน่วยที่สอง ตกลงตามนี้ ค่าจ้างเอาเป็นแบ่งครึ่งให้ทั้งสองหน่วยแล้วกัน ตกลงไหม?” การเจรจาเรื่องเงินค่าภารกิจเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะคนในหน่วยที่สองไม่ใช่คนเรื่องมากในด้านการเงินอยู่แล้วอีกทั้งภารกิจนี้ก็ได้เงินมากโขเนื่องจากเป็นภารกิจระดับAเลยทีเดียว
วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็มาเดินทางกันโดยอาศัยรถโดยสารขนาดใหญ่แต่คราวนี้เป็นรถที่ค่อนข้างมีขนาดคับแคบไปนิดเพราะรถที่พวกเขานั่งคราวนี้เป็นรถตู้เนื่องจากว่าพวกเขาต้องอาศัยรถที่ใกล้เคียงกับท้องถิ่นนั้นไม่ให้พวกค้ามนุษย์ไหวตัวทันอีกทั้งยังมีจำนวนสมาชิกมากเกินกว่าที่คาดเอาไว้ด้วย
“โอ๊ทส์ ไม่นึกเลยนะครับเนี่ยว่าจะได้ทำภารกิจร่วมกับลูกพี่แบบนี้” เจ้าคนที่ทักทายแบบเหมือนหลุดออกมาจากหนังจีนเช่นนี้คงไม่มีใครอื่นนอกเสียจากเซโอ คาร์เรนอสนั่นเองด้วยความที่เขาอยู่หน่วยที่สองนี้ด้วยทำให้เจ้าตัวเป็นหนึ่งในผู้ร่วมภารกิจในครั้งนี้เช่นกัน
และแน่นอนเจ้าตัวคือคนที่กำลังขับรถอยู่นั่นเองด้วยความที่งานคราวนี้อาจยากกว่าที่คิดพวกเขาจึงให้เจ้าเซโอเป็นคนขับรถโดยที่ด้านข้างนั้นมีแม่สาวเทรีเซีย แม่สาวที่มีสีหน้าราบเรียบนั่งอยู่ด้านข้างคนขับอยู่ด้วยแต่หากสังเกตให้ดีคิ้วเธอกระตุกอยู่หน่อยๆคาดว่าเกิดจากการที่โดนเจ้าบ้าเซโอไปลากให้มาทำภารกิจด้วยเป็นแน่
ส่วนถัดลงมาอีกหน่อยก็มีร่างของแม่สาวน้อยอย่างเนียร์ที่นั่งอยู่ด้วยแม้ว่าเธอจะเคยเข้าร่วมภารกิจร่วมกันหน่วยที่หนึ่งก็ตามแต่สังกัดดั้งเดิมเธอคือหน่วยที่สองไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่เธอจะเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ด้วย
ส่วนเอย์จินั้นก็นั่งด้านข้างแม่น้องสาวของครอสใบหน้าของเจ้าตัวอ่านข้อมูลในตัวเมืองที่พวกเขาต้องไปทำภารกิจกันอย่างเคร่งเครียดซึ่งเป็นนิสัยเฉพาะตัวอยู่แล้วด้านข้างของเขามีดาบคาตานะสีแดงเล่มหนึ่งวางเอาไว้อยู่เป็นดาบประจำตัวของเอย์จิ ดาบศักดิ์สิทธิ์มาซามุเนะ
ด้านข้างของเอย์จิยังมีชายอีกคนที่นั่งอยู่เจ้าตัวเป็นคนในกองทหารมนตราที่ไม่ได้สังกัดในหน่วยทั้งเจ็ดแต่ดูเหมือนว่าเจ้าเซโอมันจะไปทาบทามมาให้ร่วมภารกิจครั้งนี้ซึ่งมันก็ไม่ใช่คนที่ไม่คุ้นเคยซะทีเดียวผมสีแดงของเขายาวปิดใบหน้าไปบางส่วนแต่สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวไม่น่าเข้าใกล้คือดวงตาสีแดงที่ฉายแววไม่เป็นมิตรคู่นั้น
ชายผู้นี้ชื่อรากูล ดราโกนิสเป็นทหารมนตราที่สังกัดอิสระที่แม้เจ้าตัวจะพยายามทำตัวไม่ให้โดดเด่นมากนักแต่กลับมีชื่อเสียงอย่างลับๆเพราะแม้ว่ารากูลนั้นจะทำเพียงภารกิจที่ค่อนข้างง่ายซะเป็นส่วนมากจนไม่ค่อยมีตำแหน่งสูงมากนักก็ตามแต่เพราะในสงครามเมื่อสองปีก่อนเจ้าตัวเคยสร้างวีรกรรมหนึ่งสยบพันโดยอาศัยแค่ตัวคนเดียวเข่นฆ่าทหารของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งกองพัน
สิ่งนี้เองที่เป็นที่ครั่มครามไปทั่วทั้งกองทหารมนตราจนในตอนนั้นรากูลเกือบจะได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าหน่วยพร้อมเขาแล้วด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวกลับปฎิเสธตำแหน่งนี้ไปโดยไม่ใยดีโดยให้เหตุผลสั้นๆเพียงแค่ว่าไม่ต้องการซึ่งนับว่าเป็นที่ฮือฮามากเลยทีเดียว
แต่นิสัยของเจ้าตัวค่อนข้างแย่เพราะแทบไม่อ้าปากพูดออกมาเลยแม้แต่คำเดียวแทบไม่ต่างอะไรกับเทรีเซียนั่งอยู่ด้านข้างคนขับหากแต่รายนี้นั้นแสดงความไม่เป็นมิตรออกมาอย่างเต็มที่ชนิดที่บอกได้เลยว่าอย่ามายุ่งตลอดเวลา
ส่วนเขา อลันและคาซึกิเป็นสามคนที่นั่งท้ายๆคันรถโดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ใช่คนจะใส่ใจเรื่องที่นั่งในรถมากนักแต่เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเจ้าพวกนี้ต้องมานั่งท้ายๆอลันยังไม่เท่าไหร่เพราะเจ้าตัวนั่งอยู่หน้าเขาอีกชั้นนึงแต่คาซึกินั้นนั่งข้างๆเขาทั้งที่ด้านหลังก็ใช่ว่าจะมีที่ว่างมากนักอันที่จริงมันน่าจะกว้างกว่านี้หากไม่นับรวมว่าต้องมีที่วางดาบของคาซึกิอยู่ด้วย
“ภารกิจในครั้งนี้ยากเอาการเลย ปัญหาแรกคือเราไม่รู้รังของศัตรูเหมือนที่เคยเป็นมา ทำให้วางแผนอะไรก็แทบไม่ได้ ปัญหาที่สองเราไม่รู้ด้วยว่าจำนวนของตัวประกันมีเท่าไหร่แถมจำนวนศัตรูก็ไม่รู้โดยละเอียด ที่สำคัญที่สุดคือเราจะทำยังไงที่จะช่วยไม่ให้ตัวประกันตายเลยแม้แต่คนเดียว” ที่มีอยู่มันก็แค่ข้อมูลคำร้องที่ถูกส่งมากับจำนวนศัตรูโดยคร่าวที่เกิดจากการคาดการณ์เท่านั้นเองของจริงอาจมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้แถมข้อมูลสำคัญๆก็ยังไม่มีอีกด้วย
“ใจเย็นก่อนน่าเอย์จิ เครียดไปบางครั้งก็ใช่ว่าจะคิดออกนา ผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ ถึงภารกิจนี้มันจะเครียดเพราะเราต้องช่วยตัวประกันหลายสิบชีวิตก็จริงแต่ถึงแบบนั้นเราก็ไม่ควรจะร้อนรนจนเสียความเป็นตัวของตัวเอง” ผิดกับเจ้าเรย์ที่ยังสบายใจเฉิบได้อยู่ก็อย่างที่เขาบอกนั่นแหละบางครั้งการเค้นหัวสมองคิดและจมอยู่กับความเครียดก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“ นั่นสินะ โทษที ” ผิดคาดของผู้อื่นเล็กน้อยที่คนอย่างเอย์จิรับคำง่ายๆเพราะตามปกติเจ้าตัวจะเป็นคนที่จริงจังมากแต่ทางด้านของอลันและเซโอที่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนนั้นไม่ได้แปลกใจอะไรมากนักในเรื่องนี้
อันที่จริงมันเป็นเรื่องปกติสำหรับเรย์และเอย์จิด้วยซ้ำเพราะเอย์จินั้นมักจะชอบคิดมากเกินไปในบางครั้งเป็นประจำอยู่แล้วการเตือนให้หมอนี่กลับมาเป็นตัวของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมากเหมือนอย่างเขาที่เขาเคยปลอบเอย์จิเรื่องพี่ชายของเจ้าตัวมาแล้ว
“เอาน่า นายน่ะชอบมีนิสัยคิดมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเรื่องแผนละก็ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันน่ะคิดแผนไว้แล้ว แม้จะยากในทางปฏิบัติสักหน่อยแต่ก็น่าจะพอไหวแหละมั้ง” ตัวเขาก็ไม่มั่นใจนักเนื่องจากค่อนข้างจะขาดแคลนทรัพยการบุคคลที่จำเป็นแต่ก็คิดว่าน่าจะไม่ได้ยากเย็นมากนัก
“สมเป็นลูกพี่ เรื่องวางแผนพลิกแพลงกลับกลอกนี้ล่ะถนัดเป็นที่สุด” ค่อนข้างจะฟังเหมือนเป็นคำชมแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้อยากยิงศรแสงเข้ากลางกบาลของเจ้าเซโอขึ้นมาตงิดๆแต่ด้วยรู้ว่าเจ้านี่ไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นจึงปล่อยไป
“แว้ก” แต่ด้วยความที่หันมาคุยกับเขานานไปนิดทำให้เจ้าตัวไม่ได้ระวังเรื่องเนินที่พื้นถนนเลยทำให้ตัวรถยกตัวขึ้นสูงชั่วขณะแต่ด้วยความที่เซโอและเทรีเซียนั้นเป็นผู้ที่ระวังตัวไว้อยู่แล้วจึงไม่เป็นไรมากนักเอย์จิก็เช่นกันแม้จะโคลงไปนิดแต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก เช่นเดียวกับรากูลที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
อลันกับเนียร์นั้นดูจะไม่ทันตั้งตัวเลยค่อนข้างจะตอบสนองช้าไปหน่อยกรณีของอลันด้วยความที่เจ้าตัวเอามือขึ้นมาจับไว้ทันจึงไม่เป็นอะไรมากนักแต่แม่สาวน้อยอย่างเนียร์ที่ปฏิกิริยาตอบโต้ช้าเกินไปนั้นจมูกของเธอกระแทกกับเบาะรถจนแดงขึ้นมาเล็กน้อย
แต่คนที่หนักหนาที่สุดดูจะเป็นคาซึกิที่มัวแต่ระวังดาบไม่ให้มันหลุดออกมาจากฝักทำให้ร่างของเธอลอยไปตามแรงอย่างรวดเร็วส่วนเรย์ที่เห็นดังนั้นจึงใช้มือข้างหนึ่งเอื้อมไปรั้งร่างของเธอเอาไว้แต่ก็ทำให้ร่างของเธอกระแทกร่างของเขาเสียดัง
เสียงปะทะดังสนั่นที่สุดในบรรดาทุกคนทำเอาเรย์มึนไปนิดหน่อยเช่นเดียวกับคาซึกิที่แปลกใจว่ามันไม่เจ็บอย่างที่เธอคิดก่อนที่ดวงตาสีเขียวดุจผืนป่าของเธอจะเริ่มจับโฟกัสขึ้นมาได้อีกครั้งและก็ต้องพบว่าร่างของเธอเอนไปพิงร่างของเรย์แถมซอกคอของเธอยังอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างพอดิบพอดี
“ฟู่ ระวังตัวหน่อยสิคาซึกิ ดีที่ไม่เป็นไร” และไม่รู้เป็นการจงใจหรือเปล่าเพราะในวินาทีต่อมาเรย์ปล่อยลมหายใจอุ่นๆออกมารดซอกคอของเธอไปด้วยทำเอาใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีแดงจางๆแต่ก็ยังพยายามควบคุมอุณหภูมิและสีหน้าเอาไว้ทำให้ไม่มีคนดูออกมากนัก
“ว่าแต่นายจับอะไรของนาย” คำพูดของคาซึกิทำให้เรย์เพิ่งสังเกตว่ามือของตนเองในยามนี้นั้นไปหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าอกของเธออย่างพอดิบพอดีเป็นอย่างที่เธอว่าจริงๆแม้มันจะค่อนข้างแบนราบแต่มันกลับค่อนข้างนุ่มมือคาดว่าคงเอาผ้าพันเอาไว้จริงๆ
“อ่อก” ศอกของแม่สาวแต่งหนุ่มอัดเข้าใส่ชายโครงที่เปิดโล่งของเรย์จนทำเอาเจ้าตัวแทบทรุดก่อนจะลุกขึ้นมาแล้วสะบัดหน้าหนีไปด้วยความไม่พอใจสร้างความงุนงงให้กับผู้ที่ไม่เข้าใจภาพตรงหน้านิดหน่อยมีเพียงอลันที่ดูจะยิ้มขันกับเรย์เพียงอย่างเดียว
โดยไม่มีใครสังเกตสักนิดว่าสีหน้าของคาซึกิหลังจากนั้นมันทอไปด้วยสีแดงจางๆ แม้จะมีท่าทีไม่พอใจแต่เธอกลับไม่รู้สึกโกรธอะไรเขามากนักเหมือนดั่งที่แสดงออกอีกทั้งหัวใจของเธอยังเต้นแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่อีกด้วย
“ว่าแต่เซโอ แกขับรถยังไงฟะ ระวังหลุมบ่อหน่อยสิ” ด้วยความที่มือของเขาดันไปโดนหน้าอกของเธอจริงๆแม้ว่ามันจะไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่แต่เรย์ก็เลือกจะยอมรับความผิดของตนในเรื่องนี้แล้วหันไปโทษเจ้าคนขับรถแทน
“ขออภัยขอรับลูกพี่ พอดีมันไม่ทันระวังจริงๆ อาจเป็นเพราะจะเข้าเขตตัวเมืองแล้วก็ได้มั้งเลยมีหลุมบ่อบนถนนเยอะ” เมืองเลสไตน์นั้นค่อนข้างจะขึ้นชื่อในแง่ของความทุรกันดารของระบบสาธณูปโภคและถนนหนทางเนื่องจากมีข่าววงในว่าเจ้าเมืองของเมืองนี้นั้นโกงกินงบประมาณที่ได้รับมาไปเป็นจำนวนมากแต่ด้วยความที่แถบนี้ห่างไกลจากเมืองหลวงแถมยังเป็นเมืองที่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากนักเลยไม่มีใครจะมาดูแล
“ทิ้งรถไว้ที่นี่ซะ นับแต่นี้ไปเราจะลงเดินกัน” เป็นครั้งแรกตั้งแต่เหยียบขึ้นมาบนรถที่ชายเจ้าของนามรากูลพูดออกมาหากแต่เพียงแต่ประโยคแรกก็สร้างความงุนงงให้กับทุกคนที่อยู่ในที่นั้นแล้วมีเพียงเรย์ที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร
“ทำไมเราต้องทิ้งรถไว้ด้วยล่ะ เดี๋ยวรถก็หายหรอก คันหลายตังค์นะเนี่ย” แน่นอนเซโอที่ยังไม่เล็งเห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้นั้นไม่เข้าใจแต่ทางด้านของเอย์จิและเทรีเซียนั้นเริ่มมองสิ่งที่รากูลต้องการจะสื่อออกแล้ว
“เจ้าโง่ คิดจะขับรถยกโขยงเข้าไปในเมืองแบบนี้พวกมันก็รู้ตัวกันพอดี ถ้าพวกมันไหวตัวทันงานนี้เราเจ๊งกันหมดแน่ สิ่งที่พวกเราควรทำคือหาที่ซ่อนรถเหมาะๆเอาไว้แล้วออกไปคิดวางแผนว่าจะเอายังไงกันต่อ ดูจากการลงมือของพวกมันแล้วมีความเป็นมืออาชีพสูงแถมยังเหมือนมีอิทธิพลหนุนหลัง ถ้าอยากจะจับพวกมันก็ใช้หัวคิดสักนิดอย่าดีแต่มีไว้คั่นหู” คำด่าเป็นชุดแต่ก็ชี้แจงถึงเหตุผลได้อย่างชัดแจ้งทำเอาเซโอได้แต่ถอนใจดีที่เป็นเขาซึ่งไม่คิดอะไรมากกับความปากเสียแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นละก็ป่านี้คงได้มีเรื่องกันแน่แล้ว
“ทำตามที่เจ้ารากูลมันบอกเถอะ เพราะฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” หากไม่นับในเรื่องที่ปากหมาไปนิดก็นับได้ว่าเจ้ารากูลวิเคราะห์ได้เฉียบคมและตรงประเด็นอย่างยิ่งเขาจึงสนับสนุนให้เซโอหาที่จอดรถค้างทางเช่นกันพลางขบคิดถึงแผนการที่เขาวางเอาไว้ว่ามันจะไปได้สวยจริงหรือไม่
