ตอนที่ 1 ภาม
ก๊อก ๆๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้ภามที่กำลังนั่งอ่านเอกสารการประชุมครั้งล่าสุดอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง
“เข้ามา” เสียงเข้มเอ่ยบอกกับคนด้านนอก
แกรก
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงวัยกลางคนที่มีตำแหน่งเป็นเลขาของรองประธานบริษัทอย่างภามเดินเข้ามา ในมือเธอถือแฟ้มเอกสารมากมายเพื่อเอามาให้เขาอ่านรายละเอียด
“เอกสารเพิ่มเติมค่ะ” ปรางทองบอกกับเจ้านายแล้ววางแฟ้มลงตรงหน้าของภามในทันที
“เอกสาร” ภามขมวดคิ้วมองกองเอกสารด้วยสายตาสงสัย เพราะชื่อแฟ้มบางอย่างก็ไม่ใช่งานในส่วนที่เขารับผิดชอบ
“ค่ะ อันนี้เป็นรายงานการประชุมของทุกแผนกที่ท่านประธานให้คุณภามอ่าน ส่วนนี่เป็นคอลเล็กชันใหม่ที่ให้คุณภามตรวจสอบวัสดุ” ปรางทองตอบพร้อมกับยิ้มแหย เธอวางตุ๊กตาคอลเล็กชันล่าสุดลงข้าง ๆ แฟ้ม
“นี่มันแกล้งกันชัด ๆ” ภามบ่นอุบพร้อมกับส่ายหน้าเอือมระอา
เอกสารพวกนี้ส่วนหนึ่งไม่ใช่งานของภามด้วยซ้ำ แต่เพราะในตอนนี้ภามได้เข้ามารับช่วงต่อจากไพรัช พ่อของเขาแล้ว ซึ่งท่านก็ใกล้จะวางมือให้ลูกชายบริหารอย่างเต็มตัวแล้วจึงค่อย ๆ ทยอยส่งงานมาให้ภามที่เป็นลูกชายได้เรียนรู้ เพราะปีนี้ตัวเขาก็พาภรรยา ซึ่งก็คือแม่ของภามออกเที่ยวฮันนีมูนกันรอบที่เท่าไหร่แล้วภามเองก็ขี้เกียจจะนับ
ส่วนพี่ชายตัวดีก็มีโชว์รูมรถอยู่แล้วจึงไม่เคยมายุ่งวุ่นวายกับบริษัทนี้เลย เพราะบอกว่าขายตุ๊กตามันไม่สมกับความเท่ของเขา
“ขอบคุณมากครับ” ภามเงยหน้าขึ้นขอบคุณเลขาตรงหน้า เธอเองก็ทำงานหนักไม่ต่างจากเขาเลยด้วยซ้ำ เพราะทุกอย่างที่ส่งมาถึงเขาก็ต้องผ่านปรางทองก่อนอยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวนะคะ มีอะไรเรียกได้เลย” ปรางทองพูดจบก็เดินออกไปทันที
คล้อยหลังของปรางทองไปแล้ว ภามก็ยังคงนั่งนิ่งมองเอกสารตรงหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
ภาม เตชานันท์ รองประธานบริษัทผลิตและส่งออกตุ๊กตารายใหญ่ของไทย ด้วยความสามารถของเขาที่เข้ามาช่วยบิดาบริหารงานเพียงห้าปีหลังจากเรียนจบปริญญาโทจากอังกฤษ ภามก็ได้รับความไว้วางใจจากเหล่าผู้บริหารเป็นอย่างมาก ทำให้ในตอนนี้เขากลายเป็นว่าที่ท่านประธานที่รอรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็เท่านั้น
ภามหยิบตุ๊กตาที่ทางฝ่ายผลิตส่งมาให้เขาตรวจสอบวัสดุ แม้นี่จะไม่ใช่หน้าที่โดยตรง แต่ก็คือส่วนหนึ่งที่เขาต้องรับผิดชอบและเซ็นอนุมัติ
ครืด ครืด
แรงสั่นของโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำให้ภามละสายตาจากตุ๊กตาในมือแล้วหันไปหยิบมันขึ้นมาดูหน้าจอ
สายเรียกเข้า : คีตา
คนที่โทรมาก็คือเพื่อนของเขานั่นเอง ภามไม่รอช้ารีบกดรับสายแล้วยกขึ้นหูทันที
“ว่าไง”
(ทำไมเสียงเป็นงั้นวะ นี่เพื่อนโทรหา ไม่ดีใจหรือไง) เสียงของคีตาดังขึ้นจากปลายสาย พร้อมกับถามมาด้วยความสงสัยเนื่องจากได้ยินเสียงของเพื่อนสนิทฟังดูเครียด ๆ
“มึงมีอะไร” แต่ภามไม่ตอบ เขาถามกลับไปถึงสาเหตุที่ทำให้คีตาโทรมาเวลานี้ ทั้ง ๆ ที่เพื่อนหายหัวไปจากสารบบในชีวิตเขาไปเกือบเดือนแล้ว
(ว่างไหม)
“ไม่ว่าง” ภามตอบกลับแล้วมองสำรวจวัสดุที่ใช้ตัดเย็บตุ๊กตาไปด้วย
(รีบตอบเชียวนะมึง คืนนี้จะชวนไปดื่มหน่อย ไปไหม) คีตาหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยเข้าประเด็นที่เขาตั้งใจโทรมาหาภาม
“วันนี้ไม่ว่าง” ซึ่งภามก็ปฏิเสธเนื่องจากวันนี้เขาไม่ว่างจริง ๆ
(อ้าว แล้วทำไรวะ) นั่นทำให้คีตาถามขึ้นมาทันทีด้วยความสงสัย
“ย้ายบ้าน”
(บ้านใหม่ที่เพิ่งซื้ออะนะ) คำตอบของเขาทำให้คีตานึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสนิทซื้อบ้านใหม่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ตอนนี้คงตกแต่งเสร็จแล้ว
“เออ”
(ถ้างั้นพวกกูเปลี่ยนไปฉลองที่บ้านใหม่มึงดีกว่า) คีตาจึงพูดขึ้นเองเสร็จสรรพว่าจะเปลี่ยนเป้าหมายในวันนี้ จากที่จะไปดื่มกันที่คลับกลายเป็นไปบ้านใหม่ของภามแทน
“วันนี้กูไม่สะดวก ไว้วันหลังเถอะ” ภามปฏิเสธอีกครั้ง เนื่องจากวันนี้เขาต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ที่เพิ่งจะซื้อ ซึ่งอะไรก็ยังไม่ค่อยจะสะดวกนักจึงยังไม่อยากให้ใครไปที่นั่น แม้แต่เพื่อนของเขาเองก็ตาม
(อะไรวะ นี่กูอุตส่าห์คิดถึงมึงนะ ทำไมมึงไร้เยื่อใยกับกูแบบนี้ กูน้อยใจนะเว้ย) คีตาแสร้งกระเง้ากระงอดมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“ปัญญาอ่อน แค่นี้นะ กูทำงานอยู่” แต่ภามรู้ว่าเพื่อนไม่ได้เศร้าอย่างที่พูดจึงตัดบทและขอตัววางสายก่อนเนื่องจากเขามีงานค้างมากมาย ไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับเพื่อนสนิทที่ปากบอกคิดถึงแต่หายหัวไปนานเป็นเดือน
(ดะ เดี๋ยวสิ) คีตาร้องห้ามไว้
ติ๊ด
แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ภามกดตัดสายอย่างไม่ไยดีแล้วเร่งทำงานที่ที่กองพะเนินตรงหน้า
ในวันนี้เขาต้องย้ายไปอยู่บ้านใหม่ที่อยู่ใกล้กับบริษัทเพื่อสะดวกต่อการเดินทางมาทำงาน ก่อนหน้านี้หลังกลับไทยเขาอาศัยอยู่คอนโดคนเดียว แต่เป็นเพราะในงานวันเกิดคุณย่าของเขา ท่านรบเร้าให้เขาซื้อบ้านเนื่องจากกลัวว่าหลานจะไม่สะดวกสบาย อีกทั้งอายุของภามในตอนนี้ก็ควรที่จะแต่งงานได้แล้ว การมีบ้านใกล้ ๆ กับบริษัทไว้จะช่วยพ่อแม่เดินทางไปเยี่ยมเยียนได้สะดวกด้วย ภามที่ไม่เคยขัดใจย่าของเขาได้เลยจึงตัดสินใจซื้อบ้านหลังที่ย่าแนะนำ
ส่วนสะใภ้ที่ย่าบอกว่าจะหาให้เขาก็แค่บอกปัดไปว่ากำลังยุ่งกับงานของบริษัทอยู่ ไว้พี่ ๆ ของเขาแต่งงานเมื่อไหร่เขาถึงจะแต่งตาม โชคดีที่ผู้ใหญ่ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วยจึงไม่ได้เร่งรัดอะไรเขามาก เพราะถ้าบริษัทนี้ขาดเขาไปพ่อเขาเองก็อดเที่ยวเหมือนกัน ทุกคนจึงหันไปเพ่งเล็งพี่ชายจอมกะล่อนของเขาเหมือนเดิม
เมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกงานภามจึงเก็บของและเตรียมตัวกลับบ้าน ส่วนเอกสารที่ยังเคลียร์ไม่เสร็จเขาก็นำกลับไปทำที่บ้านด้วย
“คุณภามคะ แม่บ้านที่ให้เข้าไปทำความสะอาดบ้านใหม่โทรมาบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ” ปรางทองเข้ามารายงานเรื่องที่ภามมอบหมายให้เธอติดต่อบริษัททำความสะอาดให้ไปจัดการบ้านใหม่ของเขา
“ขอบคุณนะครับคุณปราง” ภามพยักหน้ารับรู้แล้วเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายไป
“ค่ะ ให้พี่ช่วยไหมคะ” ปรางทองตอบรับแล้วอาสาช่วยภามขนของ
“รบกวนด้วยครับ” ภามมองดูแฟ้มเอกสารและของมากมายที่ต้องนำกลับแล้วก็ไม่คิดจะปฏิเสธ
ทั้งสองคนช่วยกันนำของมาไว้ที่รถหรูของภามในรอบเดียว
“ขอบคุณนะครับ” ภามเอ่ยขอบคุณเลขาที่ช่วยเขาถือของลงมา
“ไม่เป็นไรค่ะ”
รถยุโรปของภามค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมาจากบริษัท จากนั้นก็แล่นไปตามถนนจนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาแลกบัตรกับยามหน้าประตูแล้วขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านสีขาวหลังหนึ่ง
ถึงบ้านหลังนี้จะไม่ได้ใหญ่โตเมื่อเทียบกับบ้านใหญ่ขนาดสิบไร่ของตระกูลเตชานันท์ที่บรรดาพ่อแม่ อา ๆ และปู่ย่าของเขาอาศัยอยู่ แต่บ้านขนาดสี่ห้องนอนห้าห้องน้ำก็ยังใหญ่มากสำหรับอยู่คนเดียวอยู่ดี แต่เพราะคุณย่าเขาบอกว่าให้ซื้อเผื่อเขาสร้างครอบครัวในอนาคต ภามที่ขี้เกียจยุ่งยากจึงไม่ได้ปฏิเสธอะไร
เขาขับเข้าไปจอดยังโรงจอดรถในบ้านแล้วเดินหอบแฟ้มส่วนหนึ่งขึ้นไปไว้ยังห้องทำงาน นอกจากนี้หลังรถก็มีของใช้ส่วนตัวที่เขาแพ็กใส่ลังจากที่คอนโดมาด้วย ขนคนเดียวสองสามรอบก็น่าจะหมด ด้วยความเป็นคนโลกส่วนตัวสูงเขาจึงไม่ได้จ้างแม่บ้านประจำไว้ เนื่องจากภามเคยอยู่เมืองนอกมาจึงทำให้เขาสามารถดูแลตัวเองได้ ถ้าวันไหนต้องการทำความสะอาดใหญ่เขาถึงจะจ้างแม่บ้านมาทำ
