บทที่ 1 รอคอย
บทที่ 1 รอคอย
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบเดือนเศษ
ลี่ถังตื่นมาตั้งแต่ยามยามอิ๋นเพื่อช่วยงานในร้าน นางเป็นบุตรสาวคนเล็กของลี่เจียง บิดาของนางเปิดเขียงขายหมู หรือจะเรียกว่าโรงเชือดก็ไม่ผิด เพราะจะซื้อเป็นจินก็ขาย จะซื้อเป็นชั่งก็ได้ หรืออยากจะซื้อยกทั้งตัว บิดาของนางก็นำไปส่งถึงจวน
“พี่ใหญ่ วันนี้ต้องไปส่งที่จวนสกุลมู่”
นางชะโงกหน้าเข้าไปยังห้องแล่เนื้อที่มีคนงานกำลังใช้มีดแบ่งเนื้อออกเป็นส่วน ๆ โดยมีบิดายืนสั่งงาน และพี่ชายของนางกำลังลงมือช่วยคนงานทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้น
“คราวนี้สั่งกี่ตัวล่ะ” ลี่เจียงหันมาถามบุตรสาว
“สามตัวเจ้าค่ะ เห็นท่านป้าบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะขนส่งสินค้าที่กลับมาจากเมืองฉงชิ่ง”
นางตอบกลับด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แต่คนเป็นบิดามีหรือจะไม่รู้ว่าคนที่เลี้ยงมากับมือตั้งแต่แรกคลอด ลึก ๆ แล้วรู้สึกเช่นไร แต่ด้วยความเป็นบุรุษมือเปื้อนเลือด ใช้เพียงแรงงานแลกเงินเพื่อมาเลี้ยงดูบุตรชายและบุตรสาวเพียงลำพัง นิสัยจึงแข็งกระด้างปากหนัก ทำเพียงพยักหน้าตอบรับคำของบุตรสาว
ลี่ถังยืนมองบิดาและพี่ชายขะมักเขม้นกับการจัดเตรียมเนื้อหมูที่ต้องส่งไปยังจวนสกุลมู่ นางเติบโตมากับกลิ่นคาวเลือดของเขียงหมูตั้งแต่จำความได้ แม้จะคุ้นชิน แต่ลึก ๆ ในใจก็มีบางสิ่งที่นางไม่อาจเอ่ยออกมาได้
นางรู้ดีว่าในเมืองนี้ แม้โรงเชือดของบิดาจะทำให้ครอบครัวมีชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคง แต่ในสายตาของชนชั้นสูงแล้ว นางก็เป็นเพียง
บุตรสาวคนขายหมู
ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ถังเอ๋อร์ เจ้าไปเอาสมุดจดมาดูว่าเราต้องเตรียมอะไรเพิ่มอีกหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” นางรีบตอบรับก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังห้องด้านใน
ในมือของนาง สมุดบัญชีถูกพลิกเปิดออก ลายมือของบิดาหยาบกระด้างแต่ก็อ่านออกทุกตัวอักษร นางใช้เวลาหลายปีคอยจัดการบัญชีให้ครอบครัว จดจำราคาสินค้า รายรับรายจ่าย และลูกค้าที่มาติดต่อซื้อขาย
แต่นางก็รู้… ไม่ว่าตนจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่มีวันได้รับการยอมรับจากผู้คนเหล่านั้น แต่วันนี้นางจำต้องเดินทางไปส่งสินค้าที่จวนสกลุมู่ด้วยตนเอง เพราะนางต้องการรู้ข่าวคราวของคู่หมาย ตั้งแต่มีโรคระบาดที่เมืองฉงชิ่ง เขาก็ขาดการติดต่อไป
แต่ในยามนี้ทางการประกาศว่าโรคระบาดควบคุมได้แล้ว สามารถเปิดเมืองให้สัญจรและค้าขายได้เช่นเดิม แต่ก็ยังไร้ข่าวคราวจากมู่เฉินคู่หมายของตน
ณ จวนสกุลมู่
ลี่ถังก้าวขาข้ามธรณีประตูใหญ่ด้วยหัวใจหนักอึ้ง ความแตกต่างระหว่างเขาและนางมีตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงความรู้สึกของผู้คนภายในจวนแห่งนี้
แต่เพราะว่ารัก
นางและเขาจึงจับมือกันหวังจะร่วมฝ่าฟันแรงกดดันนี้ไปด้วยกัน
เขาต้องเดินทางไปอยู่ต่างเมืองเพื่อพิสูจน์ตนเองเพื่อนาง นางจึงยอมอดทนรอเขาด้วยความหวัง
ลี่ถังเดินตามบ่าวรับใช้เข้ามาในจวนสกุลมู่ หัวใจของนางเต้นแรงด้วยความกังวลและความคาดหวัง ลี่ถังได้พบมารดาของอีกฝ่ายเพียงแค่ตอนที่อีกฝ่ายมากับแม่บ้านที่ตลาดเพื่อสั่งอาหารและวัตถุดิบในตลาด แม้จะเรียกท่านป้า เป็นเพราะอีกฝ่ายให้เรียกเช่นนั้นยามพบกันด้านนอก
ตั้งแต่เกิดโรคระบาดในเมืองฉงชิ่ง ข่าวคราวเกี่ยวกับเขาขาดหายไปโดยสิ้นเชิง และนี่เป็นโอกาสเดียวที่นางจะได้รู้ว่าเขายังปลอดภัยหรือไม่
“เชิญคุณหนูรอที่ศาลาริมสระ บ่าวจะไปเรียนฮูหยินว่าคุณหนูมาเยือน”
บ่าวรับใช้โค้งตัวก่อนรีบเดินจากไป ระหว่างเดินจากไปก็บิดปากชักสีหน้าใส่ ต้องมาเรียกคนที่ฐานะมิต่างกันเท่าใดว่า คุณหนู ช่างกระดากปากยิ่งนัก มิรู้คุณชายเล็กคิดเช่นไรถึงไปคว้าลูกสาวคนขายหมูมาเป็นคู่หมั้น
ลี่ถังนั่งลง ดวงตากวาดมองรอบ ๆ แม้จะเคยมาส่งเนื้อหมูที่นี่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาด้วยตนเองอย่างเป็นทางการเพียงลำพัง ปกตินางจะมากับมู่เฉิน
บรรยากาศของจวนใหญ่แห่งนี้สงบเงียบเกินไป มีเพียงเสียงลมพัดไหวและกลิ่นดอกเหมยจาง ๆ ที่ลอยมากับสายลม
ไม่นานนัก ฮูหยินมู่ก็ปรากฏตัว นางแต่งกายงดงามสมฐานะ ผู้เป็นมารดาของมู่เฉินกวาดสายตามองลี่ถังด้วยท่าทีเย็นชา ก่อนจะนั่งลงที่ตั่งไม้แกะสลักตรงข้าม
“เจ้ามีธุระอันใดถึงมาที่นี่ เจอกันที่ตลาดก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ”
น้ำเสียงของนางราบเรียบ ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเป็นกันเองเช่นยามที่พบกันที่ตลาด
ลี่ถังลุกขึ้นคำนับอย่างนอบน้อม “บ่าวคารวะฮูหยิน บ่าวมาเพื่อสอบถามข่าวคราวของมู่เฉิน ตั้งแต่เกิดโรคระบาด บ่าวไม่ได้รับข่าวของเขาเลย”
ฮูหยินมู่ปรายตามองนางพลางยกชาขึ้นจิบ
“แล้วอย่างไร”
“บ่าวเพียงต้องการทราบว่าเขาปลอดภัยดีหรือไม่เจ้าค่ะ” ลี่ถังพยายามข่มความกังวลในใจ นางไม่สนใจสายตาเย็นชาของอีกฝ่าย เพียงอยากได้รับคำตอบ
ฮูหยินมู่วางถ้วยชาเบา ๆ บนโต๊ะ “เขาส่งจดหมายรักให้เจ้าทุกเดือน เหตุใดเจ้าถึงได้มาถามข้าล่ะ”
“บ่าวไม่ได้รับจดหมายจากมู่เฉินมาหลายเดือนแล้ว เลยเป็นกังวลใจ ยิ่งเรื่องโรดระบาด…”
“เขายังส่งจดหมายมาให้ข้าเช่นเดิมมิขาด แม้กระทั่งตอนที่โรดระบาดระบาดหนักก็ยังส่งมาเล่าสถานการณ์ทางนั้น บุตรชายคนเล็กของข้าเบื่อเขียนจดหมายรักให้เจ้าแล้วกระมัง”
หลังจากออกจากจวนสกุลมู่ด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำ แม้คิดอยู่แล้วว่าต้องถูกพูดจาเช่นนั้น แต่นางก็ยังเดินไปให้เขาเหยียบย่ำถึงที่ แต่นางเป็นห่วงมู่เฉินจึงยอม
“ถังเอ๋อร์ เจอเจ้าพอดีเลย” ป้าเจียงกวักมือเรียกสตรีที่ตนคุ้นเคย เห็นนางมาตั้งแต่ยังไม่ปักปิ่น
“ป้าเจียงมาสั่งหมูหรือเจ้าคะ เมื่อเช้าตอนที่คนงานไปส่งที่ค่าย ไม่ได้ถามหรือว่าพรุ่งนี้สั่งเท่าไร”
“ถาม ๆ แต่พอดีข้าต้องการเพิ่มจากปกติอีก ห้าสิบตัว” ป้าเจียงรีบตอบเกรงคนงานจะถูกตำหนิ
ลี่ถังตาโต แม้ค่ายทหารที่ป้าเจียงเป็นแม่ครัวอยู่จะสั่งหมูวันละยี่สิบสามสิบตัวเป็นเรื่องปกติ แต่จะสั่งเพิ่มอีกห้าสิบตัว มันจะไม่กลายเป็นแปดสิบตัวเลยหรือ
“เหตุใดสั่งมากมายขนาดนั้น จะมีงานเลี้ยงหรือเจ้าคะ”
ป้าเจียงส่ายหัว “ไม่ ๆ ฝ่าบาทจะให้ทหารกองนี้เดินทางไปสมทบช่วยเหลือชาวบ้านที่เมืองฉงชิ่ง”
ลี่ถังวิ่งกลับบ้านด้วยหัวใจพองโตและคาดหวังว่าบิดาจะอนุญาต
“เจ้าอยากไปจริง ๆ หรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าเป็นห่วงเขา หากฝ่าบาทให้ทหารเดินทางเข้าออกได้ นั่นหมายถึงสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว แต่มู่เฉิน” เขาหายไปเช่นนี้ นางกังวล ไปถามคนสกุลมู่แล้วก็มิได้คำตอบ
“ข้าจะจ้างรถม้าเดินทางไปกับขบวนทหาร มีป้าเจียงด้วยปลอดภัยแน่นอนเจ้าค่ะ”
นางส่งสายตาอ้อนวอนบิดา ชี้ให้ท่านเห็นว่านางเดินทางไปหาคู่หมายถึงเมืองฉงชิ่งไม่มีอันตราย
