บทที่5. อายุเท่าไหร่แล้วนะเรา
ชายหนุ่มหมุนกลับมายืนมองหญิงสาว ดวงตาหลังแว่นตาหรี่มองคนตรงหน้าแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้
“อายุเท่าไหร่แล้วนะเรา”
“ยี่สิบเจ็ดแล้วค่ะ” ดารัณออกจะประหลาดใจกับคำถาม
“เราหมั้นกันมากี่ปีแล้ว”
“เก้าปีค่ะ”
หญิงสาวยิ้มทั้งปากและดวงตา แววตาเธอเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อเขาและซื่อสัตย์กับเขามาตลอด ชายหนุ่มพยักหน้า ดารัณไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนเดิมอีกแล้ว และไม่ใช่เด็กสาวที่เขาเคยจับมือและให้ขึ้นขี่หลัง เวลานี้เธอเติบโตเป็นหญิงสาวสวยเพียบพร้อมไปทุกอย่าง น่าแปลกใจที่เธอยังยึดมั่นกับการหมั้นที่เธอก็รู้ว่าทำไปเพราะอะไร เขาขยับเท้าเข้าไปใกล้จนเกือบชิดหญิงสาว เอื้อมมือจับมือซ้ายของหญิงสาวที่สวมแหวนวงเล็กที่นิ้วนาง เขาคลึงฝ่ามือของเธอเบาๆ แต่หญิงสาวหายใจติดขัดกับการกระทำของเขาจนแทบลืมหายใจ
“ดารัณ...”
“คะ”
“เราเลิกกันเถอะ”
ประโยคที่หญิงสาวได้ยินทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ เธอเงยหน้ามองเขาตาไม่กระพริบจ้องมองใบหน้าคมเข้มอย่างจะเค้นหาคำตอบ เธอหูแววไปใช่ไหม? เธอฟังผิดไปใช่หรือเปล่า? เขาไม่พอใจอะไรทำไมถึงพูดแบบนี้ในสมองของดารัณเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่ได้เตรียมใจมาเจอเรื่องแบบนี้ ร่างเล็กถึงกับผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวและเหมือนจะไร้แรงทรงตัว มือใหญ่ที่ว่างอีกข้างเอื้อมมาประคองเธอไว้ก่อน
ยังไม่ทันทีทั้งสองจะเอ่ยอะไรสาวใช้ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทางคนทั้งคู่
“แย่แล้วค่ะคุณธันวา”
“เกิดอะไรขึ้น” ธันวาขมวดคิ้ว
“คุณหญิงเป็นลมค่ะ”
“คุณแม่” ดารัณอุทาน
ทั้งสองผละจากกันแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาในบ้าน พี่ชายคนโตประคองมารดาให้นอนบนโซฟา เด็กชายหญิงสองคนยืนมองอย่างตกใจ ดารัณเข้าไปกอดเด็กทั้งสองให้ถอยออกห่างออกมา ธันวารีบเข้าไปตรวจดูอาการเบื้องต้น สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“พาคุณแม่ส่งโรงพยาบาลด่วน”.
..........
ดารัณนั่งประสานมือนิ่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน สำหรับเธอแล้วคุณหญิงเพ็ญแขก็เป็นเสมือนแม่คนที่สองของเธอเลยทีเดียวโดยเฉพาะตั้งแต่แม่ของเธอเสียไป คุณหญิงดูแลเธอราวกับเป็นลูกสาวไม่ว่าเธอมีเรื่องทุกข์ใจอะไร ท่านก็เป็นที่ปรึกษาของเธอเสมอ เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่รู้ ดารัณเงยหน้าเมื่อประตูห้องเปิดออก เธอเห็นแพทย์ดูแลคุณหญิงเพ็ญแขออกจากห้องตรวจคุณกรกฎและภรรยารวมทั้งธันวาก็รีบก้าวเข้าไปสอบถามอาการ
“คุณหญิงมีเนื้องอกในสมองระดับ1”
“อะไรกัน เป็นไปได้ยังไง” เสียงลูกชายคนโตพูดอย่างหัวเสีย เขาอยู่ใกล้ดูแลท่านทุกวันแต่กลับไม่รู้ว่าแม่ป่วยหนักถึงขั้นนี้
“ระดับ1” ธันวาพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นเราก็รักษาได้นี่”
“ใช่ครับเป็นเนื้องอกชนิดที่ไม่ร้ายแรง ก้อนเนื้องอกเติบโตช้า ไม่แพร่กระจาย และสามารถผ่าตัดรักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าคนไข้ให้ความร่วมมือด้วยนะครับ”
“หมายความว่ายังไง” คราวนี้สองพี่น้องหันมามองกันอย่างงุนงง
“จริงๆ คุณหญิงทราบอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่านไม่ยอมรักษาด้วยการผ่าตัด”
หัวใจดารัณเหมือนหยุดเต้นไปที่ได้ยินคุณหมอพูดแบบนั้น เธอเป็นคนพาคุณหญิงเพ็ญแขมาโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่มาก็เหมือนกับมาตรวจงานที่โรงพยาบาลซึ่งมันก็เป็นปกติที่เคยเป็นมา แต่เธอไม่รู้เลยว่าท่านเจ็บป่วยและท่านรู้อาการของตนเองมาตลอด
“เราเข้าเยี่ยมได้แล้วใช่ไหม?” ธันวาถามหมอเจ้าของไข้ของคุณหญิงเพ็ญแข
“เชิญครับ” คุณหมอเบี่ยงตัวให้ญาติเข้าไปในห้อง หมอหนุ่มมองร่างบอบบางของดารัณแล้วเดินเข้ามาใกล้ เขาเจอเธอบ่อยๆ และรู้ฐานะของเธอเป็นอย่างดี “คุณหญิงอยากพบคุณด้วยครับ คุณมิ้นต์”
“ค่ะ”
ดารัณแทบไม่มีแรงจะก้าวเท้าออกไป ใบหน้าหวานซีดเซียวจนน่าสงสาร คุณหมอยื่นมือมาแตะข้อศอกเธอเบาๆ หญิงสาวรู้สึกตัวแล้วยิ้มบางๆ แทนการขอบคุณที่เขาช่วยเรียกสติเธอ กิริยาของเธอกับคุณหมออยู่ในสายตาของธันวาแต่เขาไม่มีใจจะจับผิดอะไรตอนนี้
“คุณแม่” กรกฎและแววดาวภรรยาของเขา เดินเข้าไปข้างเตียงของมารดาที่ลืมตามองลูกๆ
“ไม่ต้องโทรไปบอกเจ้าเมษหรอกนะ” นางหมายถึงลูกชายคนกลางที่อยู่ลอนดอน
“คุณแม่ไม่สบายทำไมไม่บอกพวกเราละครับ” ลูกชายคนโตตัดพ้อ
แต่สายตาคนเป็นแม่มองเลยไปยังลูกชายคนเล็กที่ยืนนิ่งอับจนถ้อยคำ แน่นอนเพราะเขาเป็นหมอแต่ไม่ได้ดูแลแม่ผู้ให้กำเนิดมันทำให้เรารู้สึกแย่มากจนหาคำมาก่นด่าตัวเอง
