ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น
เหวยหนาน รองแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล นั่งจิบสุราอยู่ในหออวิ๋นเซียงของเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋น ข้างกายมีองค์ชายห้าผู้คอยนั่งปลอบใจเขา ทว่าแทนที่จะรู้สึกดี กลับกลายเป็นคำพูดของเซียวหมิงเฉิงที่เหมือนการตอกย้ำความผิดหวังในใจมากกว่าคำปลอบโยนใด ๆ
มีหรือที่เขาจะสามารถรับคำปลอบใจจากผู้ที่มิอาจเข้าใจความเจ็บปวดของคนอกหักได้
“พี่ใหญ่เหวย ดื่มให้น้อยหน่อยมิได้หรือ” องค์ชายห้าพูดเสียงนุ่ม พร้อมกับยกกาสุราให้รองแม่ทัพเหวยไม่หยุด แม้จะพยายามแสดงความห่วงใย แต่ทุกการเติมสุราของเขากลับไม่อาจหยุดให้เหวยหนานได้หยุดพักหายใจและครุ่นคิดได้เลย
“เจ้าจะเข้าใจอะไร” เหวยหนานรำพึงรำพัน ใบหน้าแดงก่ำจนคำพูดของเขายังมีกลิ่นสุราจาง ๆ โชยออกมา บรรยากาศในหอชายงามยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เสียงกลองดังกังวานในมุมหนึ่งของหอ
ขณะที่เสียงเครื่องดนตรีสายและขลุ่ยส่งเสียงประสานกันกล่อมกลิ่นสุราให้เข้มข้นขึ้น ในห้องต่าง ๆ ผู้คนต่างเฮฮา ดื่มกินและหัวเราะเสียงดังไม่ขาดหู
หอชายงามแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีบุรุษรูปงามพรั่งพร้อมด้วยรูปโฉมที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่ยังคึกคักยิ่งขึ้นเพราะสถานที่แห่งนี้มิได้ต้อนรับแค่สตรีเท่านั้น แต่ยังเปิดรับบุรุษที่ออกมาหาความสำราญอย่างไร้ข้อจำกัด
ห้องรับรองในหอชายงามนั้นแบ่งออกเป็นหลายห้อง หากใครต้องการความเป็นส่วนตัว ก็จะเลือกห้องที่ชั้นสามของหอ ส่วนชั้นสองเต็มไปด้วยเหล่าแม่นางที่ออกเรือนแล้ว หรือสตรีหม้ายที่สามีล่วงลับ พวกนางมาหาความสำราญกันที่นี่
สตรีแต่ละนางมิได้เผยใบหน้าที่แท้จริง แต่กลับสวมหน้ากากของทางร้าน หรือใช้ผ้าคลุมครึ่งล่างปิดบังใบหน้า ราวกับว่ามีฐานะหรือความลับบางประการซ่อนเร้นอยู่ในแววตาและท่าทางที่ยากจะเปิดเผย
ในหมู่หญิงสาวเหล่านั้น มีสตรีนางหนึ่ง สวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ชายกระโปรงปักลายดอกไม้เล็ก ๆ สีขาวสวยงาม สายคาดเอวเป็นผ้าไหมธรรมดา ทว่าป้ายหยกที่แขวนอยู่สายคาดเอวนางกลับเงางามจับตาอย่างยิ่ง
ข้างกายสตรีนางนี้มีสาวใช้คอยติดตามไม่ห่าง วันนี้คุณหนูของนางกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ถูกนายท่านบังคับให้ออกเรือนไปกับชายพิการ ถึงคุณหนูของนางจะคัดค้านอย่างสุดใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานคำสั่งของบิดา
วันนี้คุณหนูของนางจึงอยากปลดปล่อย อยากมีอิสระ หรือไม่ก็เลือกบุรุษดี ๆ สักคนมาเป็นคู่ครองชั่วคราว เพราะหากพรหมจรรย์ของนางถูกฉีกขาดไปแล้ว บิดาก็คงยัดเยียดนางแต่งเข้าสกุลใดไม่ได้อีกแล้ว
ถึงชายผู้นั้นจะพิการที่ขา แต่นางก็ไม่ได้คิดมากนัก สิ่งที่ทำให้รู้สึกสะท้อนใจมากที่สุด คือการที่นางต้องเป็นเมียคนที่แปดของคุณชายผู้นั้น บิดาของนางที่เห็นแก่ความสงบของบ้านก็ยอมให้การแต่งงานนี้เกิดขึ้น
หากมิใช่เพราะการร้องขอจากแม่ใหญ่ บิดาของนางคงไม่มีวันยอมปล่อยบุตรีที่มิได้รับความโปรดปรานออกเรือนไปแทนน้องสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น...
จอกสุราถูกกระแทกลงบนโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว ราวกับแค้นที่เกาะกุมใจไม่อาจบรรเทาได้ เพียงแค่ได้ดื่มด่ำกับสุราดอกเหมย ความคับแค้นในใจท่วมท้นขึ้นมาไม่หยุด
นางมิอาจขัดใจบิดาได้ สตรีที่เติบโตในเรือนนอกมาแรมปี ถูกเรียกกลับมาได้ไม่ถึงสิบวันกลับต้องเผชิญกับแรงกดดันจากแม่ใหญ่ ผู้ที่ร้องไห้ร้องห่มวิงวอนอยู่เช้าค่ำ มิอยากให้บุตรีต้องออกเรือนไปกับชายพิการ
แต่เหตุใดความซวยจึงต้องมาตกที่นางเล่า
นางมิใช่สายเลือดสกุลหลี่หรือ
ทำไมบิดาถึงได้ลำเอียงถึงเพียงนี้ หลี่อวี้เหยายิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บแค้น มือเรียวบางกำจอกสุราแน่น ดวงตาคู่สวยเปี่ยมไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ ความรู้สึกขมขื่นที่ก่อเกิดในใจมิอาจห้ามปรามได้
นางเหลือบมองไปข้างหน้า ทันใดนั้นสายตาก็สะดุดเข้ากับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง รูปโฉมงามสง่าดุจภาพวาด ความคิดประหลาดก็แล่นเข้ามาในหัวของนางทันที
นางชี้นิ้วเรียวไปยังบุรุษผู้นั้น แม้จะอยู่ห่างไกล แต่กลับไม่พ้นสายตาของนาง พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาแฝงแววท้าทาย “หากข้าได้บุรุษผู้นั้นมาเป็นคู่นอน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“คุณหนู!” สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างกายรีบอุทานอย่างตกใจจนเผลอก้าวถอยหลัง “ไม่มีสตรีนางใดคิดอ่านเช่นนี้ ท่านหาญกล้าเกินไปหรือไม่เจ้าคะ” นางพยายามท้วงติง ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตไปกว่านี้
เสียงของสาวใช้ยังคงสั่นเครือเมื่อกล่าวต่อ “หากนายท่านหลี่ทราบเรื่องนี้...เอ่อ...”
หลี่อวี้เหยาแค่นยิ้มเย้ยหยัน พลางโบกมืออย่างไม่ไยดี “แล้วอย่างไรเล่า หากท่านพ่อรู้ก็ยิ่งดี ข้าจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับคนมักมากผู้นั้นเสียที แม่ใหญ่ของข้าคนนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกันล่ะ เกรงว่าคนที่จะต้องถูกส่งออกเรือนคงเป็นน้องหญิงคนใดคนหนึ่งแทนเป็นแน่”
ดวงตาของนางเปล่งประกายแห่งความขบถ ความคิดอันแหลมคมพลุ่งพล่านในใจ นางแค่นหัวเราะเบา ๆ ขณะพูดต่อ ในจวนยังมีน้องหญิงอีกตั้งหลายคน แต่เหตุใดแม่ใหญ่ต้องจงใจเลือกข้าผู้เดียว หรือจะเป็นเพราะบาดแผลจากอดีตที่นางไม่เคยลืมเลือนกันเล่า
ความแค้นที่ซุกซ่อนในส่วนลึกของหัวใจหลี่อวี้เหยานั้นกำลังกัดกินความสงบของนางทีละน้อย จอกสุราที่อยู่ในมือถูกกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงอีกครั้ง สาวใช้รีบร้อนประคองคุณหนูน้อยให้ลุกขึ้นจากที่นั่ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย “คุณหนูเจ้าคะ กลับจวนเถิดเจ้าค่ะ นะเจ้าคะ!”
แต่แทนที่นางจะเชื่อฟัง หลี่อวี้เหยากลับสะบัดมือออกอย่างไม่แยแส พลางตวาดลั่น “เจ้าไสหัวกลับไปเสีย อย่ามายุ่งเรื่องของข้า!”
“คุณหนู! ไม่ได้นะเจ้าคะ อย่างไรก็ไม่ได้” เสี่ยวชิงอ้อนวอน น้ำเสียงของนางทั้งกังวลและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “คนผู้นั้นเป็นใคร มาจากไหนพวกเราก็มิได้ล่วงรู้ จู่ ๆ ท่านจะจับเขายัดขึ้นเตียงได้อย่างไรกันเจ้าคะ คุณหนูโปรดคิดให้รอบคอบอีกทีนะเจ้าคะ”
เสี่ยวชิงรีบเอื้อมมือไปยื้อยุดคุณหนูเอาไว้ พลางหันมองซ้ายขวาด้วยความร้อนรน ความคิดในหัวของนางเต็มไปด้วยความวิตก เกรงว่าหากยังขืนอยู่ที่หออวิ๋นเซียงต่อไป เรื่องงามหน้าคงเกิดขึ้นเป็นแน่
และหากข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึงหูนายท่านหลี่ ไม่เพียงแค่คุณหนูจะถูกตำหนิอย่างหนัก นางเองอาจถูกส่งตัวกลับไปยังเรือนนอกอีกครั้ง คิดถึงความยากลำบากในอดีต
เสี่ยวชิงรู้ดีว่าหากเหตุการณ์ซ้ำรอย นางและคุณหนูคงเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่ นางจึงกัดฟันแน่น สะกดความกลัว และเอ่ยเสียงหนักแน่นขึ้น “ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ คุณหนู หากมิใช่เพราะข้าห่วงใยจริง ๆ ข้าคงมิกล้าขัดคำสั่งท่าน แต่เรื่องนี้เกินจะเสี่ยง!”
เสี่ยวชิงยังคงพยายามรั้งคุณหนูไว้สุดกำลัง ทว่าหลี่อวี้เหยากลับดึงแขนออกอย่างแรงจนสาวใช้เกือบล้ม นางจ้องมองเสี่ยวชิงด้วยดวงตาแข็งกร้าว
น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเย็นเยียบจนเสี่ยวชิงถึงกับสะท้าน “เจ้ากลัวอะไรนัก หรือเจ้าคิดว่าข้าจะสนใจว่าเขาเป็นใครมาจากไหน หากมันจะช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้ ข้ายอมเสี่ยงทุกอย่าง!”
คำพูดของคุณหนูทำให้เสี่ยวชิงถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบรวบรวมสติ นางทรุดลงคุกเข่า น้ำตาคลอเบ้าพลางเอ่ยขอร้องวิงวอนคุณหนูอีกครา “คุณหนูเจ้าคะ โปรดคิดอีกครั้งเถิด หากท่านทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ตัวท่านจะต้องรับผลที่ตามมา นายท่านหลี่คงไม่มีวันให้อภัยเราแน่!”
หลี่อวี้เหยาได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะออกมา ทว่าเสียงหัวเราะนี้กลับเต็มไปด้วยความขมขื่น นางก้าวเข้าไปใกล้เสี่ยวชิง ก่อนจะก้มตัวลงมองสาวใช้ของตนด้วยสายตาสิ้นหวัง
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าท่านพ่อไม่มีวันให้อภัยข้า แต่เจ้าลืมไปหรือไม่ว่าท่านพ่อเองก็ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา เขาให้ข้าเติบโตในเรือนนอก ปล่อยข้าทิ้งไว้เช่นคนนอก แม้แต่คำว่า ‘บุตรสาว’ เขายังเอ่ยถึงข้าด้วยความเย็นชา เจ้าอยากให้ข้ายอมรับชะตากรรมเช่นนั้นไปจนตายหรือ”
เสี่ยวชิงนิ่งไปด้วยความจนใจ ขณะที่หลี่อวี้เหยายืดตัวตรง หันไปมองชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยดวงตาแน่วแน่ แววตานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นราวกับตัดสินใจบางสิ่งในใจเรียบร้อยแล้ว
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเป็นคนกำหนดชะตาของข้าด้วยตัวเอง! เสี่ยวชิง เจ้าไม่ต้องตามข้ามาอีก หากข้าล้มเหลว ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของข้าเพียงคนเดียว!” ก่อนที่เสี่ยวชิงจะทันได้ตอบอะไร