ตอนที่ห้า ตกใจแทบตาย
ตอนที่ห้า ตกใจแทบตาย
หลิวไฉ่หงเหลือบเห็นมือหนึ่งชูมีดขึ้นสูง ปลายคมส่องประกายวับภายใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังคล้อย
ทุกสิ่งเหมือนหยุดนิ่งชั่วขณะ
ก่อนเงาหนึ่งจะเคลื่อนเข้าแทรกระหว่างร่างบางกับคมมีดนั้นอย่างไร้สุ้มเสียง
พลั่ก!
คนร้ายถูกกระชากข้อมืออย่างแรงทั้งเตะจนร่างกระเด็นไปติดเสาไม้ราวไม่มีน้ำหนัก
"เจ้าคิดจะทำร้ายผู้คนกลางตลาดหรือ? ช่างใจกล้าเกินไปนัก”
เสียงชายหนุ่มเอ่ยต่ำแต่ฟังดูหนักแน่น ริมฝีปากหนาขบเม้มเล็กน้อยคล้ายกำลังขัดใจ
หลิวไฉ่หงซึ่งมัวตื่นตะลึงแข็งค้างเพิ่งตั้งสติได้เมื่อเห็นชายหนุ่มซึ่งสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีเรียบคาดผ้าที่เอวแบบพ่อค้าธรรมดา มีถุงผ้าสะพายข้าง ใบหน้านั้นยังคงเรียบนิ่งแต่แววตากลับคมกริบดั่งดาบที่ซ่อนอยู่และมองตรงมายังตนเอง
เขาอีกแล้ว!
ครั้นมองไปอีกทางเห็นชายอีกคนทรุดหมอบแนบกับเสาไม้โดยมีมีดกระเด็นตกอยู่ไม่ไกล
เกือบไปแล้ว!
ชายตรงหน้าเดินไปเก็บมีดขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอาการตื่นตระหนกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่มีอาวุธ
อืม...สรุปว่าเขาเป็นคนของทางการหรือแค่คนผ่านทางที่พอมีฝีมือ
หลิวไฉ่หงอดคิดไม่ได้เมื่อเห็นชายคนนั้นยกคิ้วเรียวเข้มขึ้นเล็กน้อยหันดวงตาเรียวรีมาสบคล้ายจะถามว่านางจะเอาอย่างไรเช่นเดียวกับเมื่อคราจับตัวบิดาเลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้
“อาหลานรีบไปตามคนมา” หญิงสาวรีบตัดสินใจ
“เจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทรีบวิ่งไปตามหาเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนซึ่งเพิ่งเห็นผ่านไปไม่นานพลางบ่นพึมพำในใจ
เหตุใดช่วงนี้คุณหนูจึงมีแต่เรื่อง?
เพิ่งออกจากจวนได้เพียงสองครั้งก็มีเรื่องทั้งสองครา
ระหว่างรอคอย หลิวไฉ่หงอดก้มลงไปสังเกตที่มือของชายหน้านิ่งผู้มาช่วยเหลือไม่ได้
ปลายนิ้วที่ด้านเล็กน้อยกับรอยหยาบที่หลังมือบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่แค่ชาวบ้านธรรมดาแน่
ในเมื่อไม่ใช่ลูกน้องของบิดา เช่นนั้นเขาเป็นผู้ใดกัน?
"เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
คำถามถูกเอ่ยขึ้นพร้อมสายตาที่มองสำรวจขึ้นลงราวกำลังประเมินว่านางถูกทำร้ายหรือไม่ บ่งบอกถึงความใส่ใจ
“ไม่เจ้าค่ะ ขอบคุณ”
หลิวไฉ่หงรีบตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพลางหันไปจับมือปลอบซุนเหนียงซึ่งยังคงยืนใจสั่นระทึก
ชายผู้นั้นยังยืนคุมเชิงไม่ให้คนร้ายลุกขึ้นมาลงมืออีก กระทั่งเห็นเจ้าหน้าที่เดินมาใกล้จึงหายตัวไปทิ้งไว้เพียงกลิ่นชาอ่อนๆ กับคำถามในใจนาง
เหตุใดจึงลงมือได้รวดเร็วยิ่งกว่าหน่วยลาดตระเวน?
แล้วเหตุใดเขาจึงโผล่มาช่วยนางได้ทันเวลาถึงสองครั้ง คงมิใช่คอยตามนางอยู่ทุกฝีก้าว
อืม...นางมิใช่สาวงามล่มเมือง
ทั้งไม่ใช่คนสำคัญหรือผู้มีชื่อเสียง
ไม่มีเหตุผลที่จะมีคนคอยตามติดเช่นนั้น
ด้วยความสงสัยถึงที่มาที่ไป หลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่และมองส่งคนร้ายซึ่งโดนจับตัวไปแล้ว
หลิวไฉ่หงจึงบอกให้อาหลานลองสอบถามผู้คนละแวกนั้นทั้งเหล่าลูกน้องของบิดาว่ามีผู้ใดรู้จักชายแปลกหน้าซึ่งเข้ามาช่วยเหลือตนเองบ้าง
สาวใช้คนสนิทซึ่งบัดนี้กลายเป็นม้าเร็วของเจ้านายได้ความมาว่ามีเพียงเถ้าแก่ร้านอาหารสองสามคนที่บอกว่าเขาเป็นพ่อค้าผ่านทางซึ่งเพิ่งเห็นหน้าได้ไม่กี่วันนี้
อืม...พ่อค้าผ่านทางหรือ?
เมื่อได้ความมาเพียงเท่านั้น หลิวไฉ่หงจึงต้องหันมาใส่ใจคนร้ายที่คิดลงมือกับนางกลางตลาด
ผ่านการสอบสวนมาทั้งคืน สุดท้ายคนร้ายแค่สารภาพว่าต้องการถือมีดมาตัดถุงเงินของหญิงสาวเท่านั้นไม่ได้คิดลงมือถึงขั้นเอาชีวิต
ด้วยเขาเคยขโมยเล็กขโมยน้อยมาหลายครั้งและเพิ่งออกจากคุกไปเมื่อเดือนก่อน นายอำเภอหลิวจึงตัดสินใจให้คุมขังเขาเอาไว้อีกหลายปี ขณะหลิวไฉ่หงได้แต่สบถในใจ
เชอะ...ทำข้าตกใจแทบตาย อ้างว่าแค่ต้องการขโมยเงินเท่านั้นหรือ
ด้วยจู่ๆ บุตรสาวก็เกือบโดนทำร้ายถึงสองครั้ง หลิวกังจึงออกคำสั่งไม่ให้นางออกจากจวน
แต่หลิวไฉ่หงหรือจะยินยอมง่ายๆ
“ในเมื่อท่านพ่อเกรงว่าลูกจะเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ควรอนุญาตให้ลูกอยู่ใกล้ๆ สิเจ้าคะ มีเพียงอยู่ใกล้กับท่านพ่อจึงจะวางใจได้ มิใช่หรือ”
หลิวไฉ่หงอาศัยความใจกล้าขอติดตามบิดาไปยังที่ว่าการอำเภอด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา
นายอำเภอหลิวเพียงคิดว่าให้บุตรสาวนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องด้านข้างคงไม่น่าเกลียดจนเกินไป แต่หลิวไฉ่หงดั่งถูกโชคชะตาส่งมาให้เป็นเครื่องดูดความวุ่นวาย
ด้วยยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยามเสียงกลองร้องทุกข์ก็ดังขึ้นทำให้นายอำเภอต้องเปิดการไต่สวน
