ตอนที่หนึ่ง บุตรสาวนายอำเภอ
ตอนที่หนึ่ง
บุตรสาวนายอำเภอ
‘หลิวกัง’ เหลียวมองบุตรสาวซึ่งนั่งชะเง้อคอยืดยาวอยู่ข้างโต๊ะหนังสืออย่างพยายามทำความเข้าใจกับตัวอักษรที่เขาถืออ่านพลางทอดถอนใจ
“เฮ้อ!...หงเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงสตรีไม่ควรเข้ามาวุ่นวายเรื่องงานของพ่อ เหตุใดจึงไม่ไปเย็บปักหรือทำงานของเหล่าสตรีเล่า ดูสิ ผ้าคาดเอวของพ่อเก่าแล้ว เจ้าจะเร่งมือปักให้ทันงานโคมไฟในอีกไม่กี่วันข้างหน้าได้หรือไม่”
‘หลิวไฉ่หง’ ได้ยินจึงเบะปากส่งสีหน้าประท้วงทิ้งตัวกระแทกพนักพิงแล้วเอ่ยคำตอบโต้ออกมาทันที
“เหตุใดหญิงสาวอย่างพวกเราจึงต้องทำได้แต่เรื่องน่าเบื่อเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ ลูกปักผ้าจนเข็มตำมือเลือดออกได้แผลไปตั้งมาก ก็ยังไม่เห็นจะได้ประโยชน์อันใด มิสู้มานั่งให้กำลังใจท่านพ่อเสียดีกว่า”
ใช่แล้ว! เรื่องที่ไม่ถนัดที่สุดของนางก็คือการจับเข็มเย็บผ้าแล้วปักลวดลายเล็กๆ ลงไปบนผ้าผืนใหญ่นั่นแหละ
แม้จะพยายามทำตามคำสั่งสอนเพียงใดแต่สุดท้ายก็ได้แค่เส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิงจนมองไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร
ยังจำถึงเมื่อเดือนที่แล้วที่นางพยายามปักลวดลายดอกเหมยแล้วบอกอย่างภาคภูมิใจว่าดอกเหมยของนางมีหลายกลีบซ้อนกัน
แต่สาวใช้คนสนิทกลับโพล่งออกมาว่ายิ่งแลดูยิ่งคล้ายกะหล่ำปลี เพียงกะหล่ำปลียังพอว่า แต่นางยังบอกว่าเป็นกะหล่ำปลีเหี่ยวอีกด้วย คิดแล้วมันน่าโมโหนัก
แล้วยังเมื่อไม่กี่วันก่อนที่นางสู้อุตส่าห์ปักผ้าลายนกยูงสดใสมามอบให้แก่บิดา
ทันทีที่เขารับไปกลับทำสีหน้ายุ่งยากขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นปมแทนเส้นด้ายแล้วพยายามเดาชิ้นงานตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผ้าชิ้นนี้ เอ่อ...หงเอ๋อร์ปักลายนกเป็ดน้ำหรือ?”
หลิวไฉ่หงรีบมองผ้าในมือของบิดาพลางเอ่ยอธิบาย
“นกเป็ดน้ำที่ใดกันเจ้าคะ นั่นคือนกยูง สีสันออกจะสดใสตัดกันเพียงนั้น เหตุใดท่านพ่อดูไม่ออกเล่า”
หลิวกังพยายามมองเส้นหางกระจัดกระจายยุ่งเหยิงเหมือนไม้กวาดแล้วคิดให้เป็นนกยูง สายตาเหลือบไปเห็นแม่นมซุนเหนียงซึ่งเป็นผู้คอยสอนงานฝีมือแก่คุณหนูกำลังชำเลืองมองลวดลายที่คล้ายไก่ป่วยหรือนกถูกไฟคลอกด้วยสีหน้าละอายใจ
“เฮ้อ!...”
เสียงถอนหายใจดังออกมาเกือบพร้อมกันก่อนที่หลิวกังต้องกลั้นใจเอ่ยชมสักสองสามคำเพื่อไม่ให้บุตรสาวเสียน้ำใจหรือแง่งอนก่อนจะนำผ้าไปแอบซ่อนไว้ไม่กล้าให้ผู้ใดเห็น
ด้วยเหตุนี้ หลิวไฉ่หงจึงไม่ยอมจับเข็มเย็บปักแล้วเข้ามาวุ่นวายอยู่กับบิดาในห้องหนังสือ
“ท่านพ่อ ลูกเบื่อมากเลย วันนี้ท่านจะออกไปตรวจตราที่ตลาดใช่หรือไม่ พาลูกไปด้วยนะเจ้าคะ” ฉับพลันบุตรสาวก็เปลี่ยนสีหน้าทั้งท่าทางออดอ้อนพาให้อ่อนใจ
แม้หลิวกังจะมีตำแหน่งเป็นถึงนายอำเภอที่ไม่ต้องลงแรงออกลาดตระเวนด้วยตนเอง แต่เขามักใช้เวลาว่างเข้าถึงชาวบ้านอยู่เสมอด้วยหวังเป็นที่พึ่งพาที่ไม่ได้อยู่สูงเกินเอื้อม
นั่นจึงทำให้อำเภอต้าหว่านสงบสุขร่มเย็น ไม่ใคร่มีโจรผู้ร้าย การเพาะปลูกค้าขายล้วนคึกคักส่งผลให้จัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
เรื่องที่มักมาถึงที่ว่าการอำเภอส่วนใหญ่จึงเป็นเพียงเรื่องชาวบ้านทั่วไปซึ่งมักวุ่นวายจนเสียเวลา นายอำเภอหลิวจึงมักออกเดินตรวจตราเผื่อจะป้องกันเสียตั้งแต่ต้นลม
“หงเอ๋อร์ เจ้าโตแล้ว มิใช่เด็กน้อย ทั้งยังเป็นสตรี จะเที่ยววิ่งเล่นออกไปเพ่นพ่านข้างนอกตามอำเภอใจได้อย่างไร” ไม่ว่าเมื่อใด ผู้เป็นบิดาก็มักมองสายเลือดในอกเป็นเพียงเด็กตัวน้อยที่ต้องคอยปกป้องอยู่เสมอ
“ลูกไม่ได้ออกไปเพ่นพ่านวุ่นวายสักหน่อย ในตลาดคือสถานที่ซื้อหาข้าวของทั้งมีผู้คนมากมายทั้งบุรุษสตรี ลูกก็แค่อยากไปเที่ยวเล่นหาซื้อของใช้ส่วนตัวบ้าง
ถึงอย่างไรก็มีท่านพ่ออยู่ใกล้ๆ ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหน ท่านพ่อ ให้ลูกไปด้วยนะเจ้าคะ” น้ำเสียงที่ลากยาวทั้งการกะพริบตาปริบๆอย่างออดอ้อน ทำให้นายอำเภอหลิวใจอ่อนจนได้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขารู้สึกว่าบุตรสาวเปลี่ยนไปกลายเป็นพยายามใกล้ชิดทั้งยังออดอ้อนอย่างน่ารัก
