คุณพ่อเลี้ยงคะ ตอนที่ 1
9 ปีก่อน...
"ฮือออ~ ฮึกก! ฮือออ~" เสียงสาวน้อยวัยเก้าขวบร้องไห้ปานจะขาดใจอยู่หน้าโรงศพของผู้เป็นพ่อที่จากไปกระทันหันด้วยอุบัติเหตุ บุพการีเพียงคนเดียวจากไป จึงทำให้สาวน้อยเสียใจเป็นอย่างมาก หันมองไปทางไหนก็มีแต่คนแปลกหน้า ผู้คนมากมายเต็มศาลาวัด แต่สาวน้อยกลับไม่รู้จักใครสักคน
"หนูปิ่นหรือเปล่า?" เสียงเข้มของใครบางคนดังขึ้นจากทางด้านหลังสาวน้อย พอเธอหันไปก็พบกับชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ยืนมองเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แขนข้างซ้ายใส่เฝือก สวมชุดสีดำสุภาพดูภูมิฐาน ท่าทางเหมือนมีเรื่องจะพูดด้วย
"......." สาวน้อยได้แต่ยืนสะอื้นมองคนมาใหม่ด้วยความประหลาดใจ คนตัวโตตรงหน้าเป็นใคร รู้จักชื่อเธอได้อย่างไร ใบหน้าโศกเศร้าของเขาดูไม่คุ้นเลยสักนิด
"ต่อไปนี้ไปอยู่กับฉัน ฉันจะดูแลเธอแทนพ่อเธอเอง"
และนับจากวันนั้น สาวน้อยวัยเก้าขวบก็ย้ายมาอยู่กับชายหนุ่มที่สวนอมรคีรินทร์ โดยมีเจ้าของสวนอย่างพ่อเลี้ยงภาสกรเป็นผู้อุปการะ ส่งเสียเด็กหญิงให้ได้เล่าเรียนในโรงเรียนดีๆ จนตอนนี้ได้จบมัธยมปลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เตนท์หน้าสวนอมรคีรินทร์
"ของยายหนึ่งพันสองร้อยสามสิบเอ็ดบาทจ่ะ หนูเอาแค่พันสองถ้วนก็แล้วกันนะจ้ะ" เสียงสดใสของ เฌอรดา หรือ หนูปิ่น เด็กในปกครองของเจ้าของสวนพูดคุยกับคุณยายที่มารับผลไม้ด้วยรอยยิ้มใจดี
"ขอบใจนะจ้ะหนูปิ่น ฝากขอบคุณพ่อเลี้ยงด้วยนะหนู ส่งผลไม้ให้ยายราคาส่งถูกๆ ยายเลยได้กินได้ใช้ ได้ส่งหลานไปโรงเรียน" คุณยายวัย 69 ปี ยิ้มแป้นอย่างซาบซึ้งยื่นเงินหนึ่งพันสองร้อยบาทให้กับเฌอรดา
"ได้จ่ะคุณยาย กลับดีๆ นะจ้ะ"
"จ้า" แล้วคุณยายก็ขับซาเล้งเก่าๆ ขนเงาะ มังคุด ลองกอง ลำใย ออกไปจากเตนท์หน้าสวนที่มีพ่อค้าแม่ค้ามากมายกำลังเลือกผลไม้ชั่งกิโลเพื่อนำไปขาย
"ของลุงหนึ่งหมื่นสามพันบาทจ้า" แล้วหญิงสาวก็หันมาแจ้งยอดของลูกค้าคนต่อไป
เมื่อรับเงินแล้วเธอก็จดใส่สมุดเล่มสีฟ้า ทำแบบนี้วนเวียนไปเรื่อยๆ จนผลไม้ในเตนท์หมด เฌอรดาจึงรีบเคลียร์ยอดและเงินสดทั้งหมดเพื่อนำไปส่งให้กับเจ้าของสวน
"หนูปิ่นจะไปเลยไหมจ้ะ น้าจะฝากกุญแจโกดังไปด้วย"
"ไปเลยจ่ะน้าก้อย คืนนี้พ่อเลี้ยงมีแขก ปิ่นต้องไปช่วยป้าน้อยในครัวด้วย"
"แล้วนี่ปิดเทอมแล้วใช่ไหม ได้ยินคุณภูมิบอกว่าหนูปิ่นจะเรียนมหาลัยใกล้ๆ นี่นา"
"ใช่จ่ะ ปิ่นไม่อยากไปอยู่ที่อื่น ปิ่นขี้เกียจทำความรู้จักอะไรใหม่ๆ น่ะจ่ะ"
"โอเคๆ งั้นหนูปิ่นไปเถอะ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงรอยอด"
"จ้า งั้นปิ่นไปนะจ้ะ สวัสดีค่ะน้าก้อย ลุงสม พี่ป๊อด พี่แต"
"เอ้อๆ กลับดีๆ"
"ค่อยๆ ไปนะหนูปิ่น"
"ระวังบิลหล่นนะไปเบาๆ"
"โอเคจ้า" เฌอรดาขึ้นคร่อมจักรยานสีชมพูคันโปรด โดยวางสมุดบิลไว้ในตระกร้าหน้า ส่วนเงินสดก็เก็บในกระเป๋าสะพายข้าง แล้วปั่นจักรยานเข้าไปในสวนซึ่งเป็นทางเข้าบ้านใหญ่อมรคีรินทร์ที่เธอเองก็อาศัยอยู่ที่นั่น
และใครว่าเธอจะรีบไปช่วยป้าน้อยทำครัว เธอจะรีบไปกันซีนยัยป้าจอมให้ท่าต่างหากล่ะ! มาทีไรก็ไม่เคยคุยแค่เรื่องงาน แต่ชอบพูดจาสองแง่สองง่ามอ่อยพ่อเลี้ยงตลอด ถึงแม้พ่อเลี้ยงจะดูไม่มีทีท่าเคลิ้มตาม แต่อะไรๆ มันก็ไม่แน่นอนเสมอไปหรอก
ณ บ้านใหญ่อมรคีรินทร์
เรือนไม้สักเงาขนาดใหญ่โอ่อ่าไร้ที่ติตั้งตระหง่านอยู่หน้าสวนซึ่งห่างจากทางเข้าสวนประมาณหนึ่งกิโลเมตร สวนผลไม้อมรคีรินทร์มีเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ ปลูกผลไม้ตามฤดูกาลทุกชนิดที่ปลูกได้
สวนผลไม้จะถูกแบ่งเป็นส่วนๆ ส่วนแรกคือส่วนที่เอาไว้ให้ทัวร์นักท่องเที่ยวเยี่ยมชม และเปิดขายเป็นบุฟเฟ่ต์ผลไม้ สามารถกินผลจากต้นได้ทุกสวน และถ้าใครอยากซื้อกลับ ทางสวนก็มีแบ่งขายแพ็คใส่กล่องให้อย่างดีพร้อมติดโลโก้ของสวนให้ไป อีกส่วนจะเป็นสำหรับส่งออกนอกประเทศ ส่วนใหญ่แล้วก็จะส่งไปที่จีน และอีกส่วนก็จะแบ่งขายให้กับพ่อค้าคนกลางบ้าง พ่อค้าแม่ค้าปลีกย่อยมารับไปขายบ้าง แล้วก็แบ่งให้คนงานในสวนและคนที่บ้านกิน
"อ้าวคุณภูมิ ยัยป้าท่าเยอะมาแล้วเหรอคะ?" เฌอรดาถามขึ้นอย่างรีบร้อนเมื่อปั่นจักรยานมาถึงแล้วเห็นรถตู้สีขาวสุดหรูจอดอยู่หน้าบ้าน ซึ่งเป็นรถตู้คันเดียวคันเดิมที่เธอเห็นบ่อยๆ
"พึ่งมาได้ห้านาทีเองหนูปิ่น รีบเข้าไปสิ" ภูมิพัฒน์ หรือ ภูมิ ผู้ช่วยคนสนิทของพ่อเลี้ยง อายุอานามก็เท่ากับพ่อเลี้ยงเลย นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ภาสกรรับภูมิพัฒน์เข้ามาเป็นผู้ช่วย เพราะสามารถคุยด้วยง่าย ไม่ต้องลำบากใจตอนที่พูดไม่สุภาพด้วย เพราะภาสกรก็ไม่ใช่คนอ่อนโยนนัก
"โอเคๆ งั้นปิ่นรีบไปดูก่อน!" หญิงสาววิ่งปู๊ดเข้าไปในบ้านด้วยความเร็วแสง ทำเอาภูมิพัฒน์ยิ้มเบาๆ พลางส่ายหัวให้อย่างเอ็นดู
ถึงแม้ภูมิพัฒน์จะประเมินแล้วว่ามีความเป็นไปได้ยากที่พ่อเลี้ยงภาสกรจะใจอ่อนยอมรับรักสาวน้อยน่ารักอย่างเฌอรดา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแอบเชียร์อยู่ลึกๆ ในใจ เพราะเขาเองก็อยากเห็นพ่อเลี้ยงในมุมอ่อนโยนเหมือนแมวบ้าง ไม่ใช่ดุเหมือนเสือเฉกเช่นทุกวันนี้
ฝั่งเฌอรดา เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว เธอก็ตรงเข้าไปที่ห้องรับแขกทันที ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปแบบโท่งๆ ด้วยสีหน้าเหวอหวา
"ฉันเคยสอนหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เคาะประตูก่อนทุกครั้ง ทำไมยังทำตัวเสียมารยาทอยู่อีกหนูปิ่น" เสียงเข้มทรงอำนาจของ ภาสกร หรือ พ่อเลี้ยง ดุขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทำเอาสาวอายุมากที่มาในฐานะลูกค้าคนสำคัญหันมายิ้มเยาะใส่เชิงสมน้ำหน้าให้กับเด็กแก่แดดที่คอยกันท่าหล่อนตลอดทุกครั้งที่มาพบพ่อเลี้ยง
"ขอโทษค่ะพ่อเลี้ยง ปิ่นแค่รีบเอายอดมาส่ง กลัวเลยเวลา" ไม่พูดเปล่า แต่หญิงสาวกลับเดินย่ำเท้าฉับๆ เข้าไปนั่งข้างๆ พ่อเลี้ยง แล้วเอาสมุดบิลกับกระเป๋าเงินวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเป็นหลักฐาน ไม่พอยังจ้องหน้ายัยป้าจอมยั่วยวนอย่างท้าทาย
ภาสกรเห็นเช่นนั้นก็ลอบถอนหายใจเบาๆ พลางส่ายหน้า ก่อนจะก้มดูเอกสารสัญญาตรงหน้าต่อ ไม่ได้สนใจหญิงสาวสองคนอีก
"ต้องขอบคุณคุณหญิงเทียนนะคะ ที่ยังเห็นแก่ความเป็นเพื่อนของแม่ปัทและเอ็นดูปัทมาก เลยได้ผลไม้จากสวนอมรคีรินทร์ไปแปรรูปทุกเดือน ราคาก็เป็นกันเอง จริงๆ ผลไม้พวกนี้หาที่ไหนก็ได้ แต่ผลไม้ปลอดสารพิษที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีแถมไม่เน่าไม่เสียมันหายากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยค่ะที่สวนอมรคีรินทร์จะยืนหนึ่งในเรื่องของคุณภาพ" ปัทมา หญิงสาวเจ้าของโรงงานผลไม้แปรรูปวัย 36 ปี เอ่ยชมด้วยน้ำเสียงหวานหูดูไร้พิษสง แต่ใจจริงหวังต้องการหว่านล้อมให้ชายหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าหลงคารม ถึงขนาดกับต้องแต่งตัวสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูป แหวกอก เปิดไหล่ มาช่วยทุกครั้ง แต่พ่อเลี้ยงภาสกรก็ไม่เคยมองหล่อนสักที
ไหนจะนังเด็กแก่แดดที่คอยกันท่าหล่อนทุกครั้งอีก ทำเอาหล่อนเกือบจะหมดความอดทนง้างมือตบปากแดงๆ นั่นสักฉาด สั่งสอนให้รู้จักว่าอันไหนเรื่องของเด็ก อันไหนเรื่องของผู้ใหญ่
"คุณป้าท่านใจดีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ" เฌอรดาโพล่งขึ้นตอบแทนอย่างรู้ทัน คุณหญิงเทียนก็คือคุณหญิงภิรตี เป็นคุณแม่ของพ่อเลี้ยงภาสกร ซึ่งมีหน้ามีตาในสังคมพอสมควร ปัทมาอาจจะอยากสื่อว่าคุณหญิงเทียนท่านเอ็นดูหล่อนเป็นพิเศษ หรือถ้าให้พูดตรงๆ คือทาบทามหล่อนเป็นลูกสะใภ้ในอนาคต ซึ่งนั่นไม่จริงเลย ปัทมาก็แค่คิดเองเออเองทั้งนั้น
เมื่อได้ยินยัยเด็กแก่แดดพูดแบบนั้น ปัทมาจึงยิ้มเจื่อนกลับไปพร้อมสายตาอาฆาตเกลียดชัง หล่อนจะหลุดใจมารต่อหน้าพ่อเลี้ยงไม่ได้ ต้องทำตัวเป็นผู้หญิงที่เพรียบพร้อมและเหมาะสมที่จะขึ้นเป็นนายหญิงของสวนอมรคีรินทร์ที่สุด สิ่งที่ทำได้คือต้องกำมือให้แน่นระบายอารมณ์โกรธที่เดือดพล่านไปทั่วร่างกาย
ปึก!
"สัญญายังถูกต้องเหมือนเดิม ผมเซ็นให้แล้ว คุณปัทจะตรวจสอบก่อนก็ได้นะครับ" ภาสกรยื่นหนังสือสัญญาคืนให้กับหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามหลังเซ็นชื่อให้เรียบร้อย เขาไม่ได้สนใจสิ่งที่ปัทมาจะสื่อเท่าไหร่เพราะไม่ใช่เรื่องงาน และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปัทมาพยายามยัดเยียดตัวเองให้เขา
"ไม่เป็นไรค่ะ คุณคินน์เซ็นให้ปัทก็ดีใจแล้ว อืม...มื้อเย็นวันนี้ยังมีของปัทเหมือนเดิมใช่ไหมคะ?"
"ครับ เชิญคุณปัทที่โต๊ะอาหารด้านนอกที่เดิมเลยครับ ผมขอเวลาไม่เกินสิบห้านาทีเคลียร์ยอดจากเตนท์วันนี้ก่อน" พูดจบภาสกรก็ลุกขึ้นพร้อมกับคว้าสมุดบิลตรงหน้าเฌอรดามาถือไว้ ส่วนกระเป๋าเงินเฌอรดาได้หยิบขึ้นไปสะพายไว้เหมือนเดิม
"เอ่อ..คุณคินน์ไม่ได้เคลียร์ยอด!...ที่นี่กันเหรอคะ?" ปัทมารีบลุกขึ้นทักท้วงเมื่อคนทั้งคู่ทำราวกับหล่อนเป็นคนนอก ไม่สมควรรู้เรื่องบัญชีรายรับรายจ่าย ทั้งๆ ที่หล่อนกับครอบครัวอมรคีรินทร์ก็สนิทสนมกันมาตั้งนาน สนิทก่อนที่จะรับนังเด็กนั่นมาเลี้ยงเสียอีก
"เปล่าครับ ที่นี่ห้องรับแขก มีไว้สำหรับต้อนรับคนนอก ส่วนเรื่องในสวนผมจะจัดการอยู่บนห้องทำงานส่วนตัวน่ะครับ ขอตัวก่อนนะครับ" ว่าจบภาสกรก็เดินนำออกไป เฌอรดาที่เดินตามหลังเลยแอบหันไปขำเงียบๆ อย่างสะใจเอาคืนบ้าง เล่นเอาปัทมามือไม้สั่นเจ็บกับคำว่า คนนอก ที่ชายหนุ่มพูด อีกทั้งยังโมโหสีหน้าเยาะเย้ยที่เฌอรดาทำใส่ เก็บอารมณ์ไม่อยู่จนต้องกระทืบเท้าข้างเดิมซ้ำๆ อย่างต้องการระบายความเดือดดาล
'อีนังเด็กปิ่น!!'
