คุณชายเจ้าของไร่แสนใหญ่

17.0K · จบแล้ว
นกกระจิบ
12
บท
2.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เขาให้ที่ดิน...แต่ขอเธอทั้งตัวเป็นค่าตอบแทน พลับพลึง เด็กสาวบ้านนา ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความจนและศักดิ์ศรี เธอขึ้นเขาไปขอยืมที่ดินจากคุณชายหนุ่มเจ้าของไร่แสนใหญ่ เพื่อช่วยแม่และน้องให้รอดพ้นจากความหิวแต่สิ่งที่เธอได้รับ...คือข้อเสนออันแสนโหดเหี้ยมจากชายผู้เย็นชา “คืนละหนึ่งครั้ง…แลกกับที่ทำกินทั้งแปลง”

นิยายรักโรแมนติกหนุ่มเจ้าสำราญผู้หญิงเรียบร้อยสัญญาทางรักรักแรกพบโรแมนติกรักหวานๆความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน18+

ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นแห่งข้อตกลง

ตอนที่ 1

จุดเริ่มต้นแห่งข้อตกลง

สายลมระเรื่อยพัดโบกโบยพลิ้วไปตามทิวต้นข้าวโพดที่สูงเทียมศีรษะ บนเนินเขาสูงเสียดฟ้าของจังหวัดเชียงราย ผืนฟ้าสีครามกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาถูกโอบกอดด้วยทะเลหมอกบางเบาที่ลอยอ้อยอิ่งราวกับแพรไหม ไร่ข้าวโพดและพืชไร่อื่นๆ ที่ทอดตัวแผ่กว้างไปจนสุดขอบฟ้า ช่างเป็นภาพที่เปี่ยมไปด้วยความสงบเงียบงัน เยือกเย็นชวนฝัน แต่ทว่าภายใต้ความงดงามนั้นกลับมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่… คล้ายกับเงาของไม้ใหญ่ที่ทอดยาวบิดเบี้ยว กำลังจับจ้องใครบางคนด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

“แม่บอกให้ไปหาคุณชายให้ได้...ขอยืมที่สักแปลงก็ยังดี เราไม่อยากเห็นแม่ต้องขายข้าวสารอีกแล้ว...”

เสียงกระซิบแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปากบางเฉียบของหญิงสาวร่างเล็กผู้มีชื่อว่า พลับพลึง น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวังและความเจ็บปวดที่ผสมปนเปกัน เธอหลับตาลงชั่วขณะ คล้ายจะรวบรวมความกล้าหาญที่กำลังจะมอดดับลงไปทุกที

พลับพลึง...สาวน้อยบ้านนาวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี ผิวพรรณของเธอนั้นเนียนละเอียดแม้จะถูกแดดเผาจนหมองคล้ำไปบ้าง แต่กลับยิ่งขับให้เธอดูมีเสน่ห์ตามธรรมชาติ ใบหน้าจิ้มลิ้มรูปไข่ ดวงตากลมโตเป็นประกายฉายแววความมุ่งมั่น ผมยาวสีดำขลับถูกถักเปียคู่เล็กๆ อย่างลวกๆ มัดด้วยเชือกป่านสีซีดเก่า เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวผืนเดียวกับที่เธอใส่ไปวัดในวันพระ ถูกรีดมาอย่างประณีตที่สุดเท่าที่ทำได้ในสภาพชีวิตที่เรียบง่ายของเธอ มันดูสะอาดสะอ้านและบ่งบอกถึงความพยายามที่จะดูดีที่สุดในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้

หญิงสาวยืนอยู่เบื้องหน้าคฤหาสน์ไม้สักทองสามชั้นหลังมหึมา ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนไหล่เขาชัน ราวกับปราสาทที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขา เสียงหัวใจของพลับพลึงเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งจะทะลุออกมาจากอก มือเรียวเล็กที่กำขอบกระเป๋าผ้าใยป่านเก่าๆ จนแน่น ชุ่มเหงื่อเย็นเฉียบ แสดงถึง ความประหม่าและความกังวลที่กำลังถาโถม

“กล้าไหมพลับ...ถ้าไม่กล้า ครอบครัวเราก็อดข้าวไปอีกหลายวัน”

เสียงแห่งความกลัวยังคงดังก้องอยู่ในหัว แต่เสียงจากก้นบึ้งของหัวใจกลับสะกดความหวาดหวั่นเหล่านั้นไว้ พลับพลึงกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นจนเกือบจะห้อเลือด พลางหลับตาลงอีกครั้งเพื่อรวบรวมสติ ก่อนจะตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูไม้เนื้อแข็งบานใหญ่สองครั้ง เสียงนั้นดังกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ ราวกับจะปลุกให้คฤหาสน์ที่เงียบงันตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา

ไม่ทันที่เธอจะนับถึงสิบ เสียงบานประตูไม้ก็เปิดออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำผู้หนึ่งยืนปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา

พลับพลึงรู้สึกราวกับถูกกดทับด้วยเงาของเขาที่สูงกว่าเธอหลายช่วงตัว กล้ามเนื้อแขนที่แน่นเป็นมัดๆ เห็นได้ชัดภายใต้เสื้อยืดสีเทาอ่อนที่เปียกชุ่มเหงื่อจากการตรากตรำทำงาน กางเกงยีนส์สีซีดที่ขาดรุ่ยบริเวณหัวเข่าดูเหมือนจะไม่ใช่ความตั้งใจ แต่กลับยิ่งขับให้เขามีรูปลักษณ์ที่ดูดิบเถื่อน น่าเกรงขาม และน่าหวั่นใจอย่างประหลาด

แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของพลับพลึงเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ และรู้สึกราวกับถูกตรึงไว้กับที่ คือดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวที่จ้องมองมายังเธออย่างเยือกเย็น ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความเมตตาปรานีปรากฏอยู่ในแววตานั้นเลยแม้แต่น้อย

“ขึ้นมาทำไม”

เสียงทุ้มต่ำห้าวหาญเอ่ยขึ้น คล้ายกับเสียงคำรามในลำคอของสัตว์ป่ามากกว่าจะเป็นคำถามที่สุภาพ พลับพลึงสะดุ้งเฮือก แต่พยายามควบคุมสติเอาไว้

“หนูชื่อพลับพลึงค่ะ...ลูกพ่อบุญหลาย คนเก่าคนแก่แถวบ้านแม่หนูฝากมาขอที่ดินปลูกผักปลูกพริกสักแปลงก็ยังดีค่ะคุณชาย...”

หญิงสาวพนมมือขึ้นแนบชิดหน้าอก ก้มศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อมถ่อมตนตามแบบฉบับของชาวบ้าน แต่สายตาคมกริบของชายหนุ่มกลับไม่ได้มองที่มือของเธอ เขากวาดสายตาไล่สำรวจไปทั่วร่างของพลับพลึง ตั้งแต่ผมเปียที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย ไปจนถึงปลายเท้าที่สวมรองเท้าแตะช้างดาวเก่าๆ ที่ขาดไปข้างหนึ่ง

ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของเขา ไม่มีรอยยิ้ม หรือแม้แต่แววตาแห่งความเห็นใจปรากฏให้เห็น มีเพียงแววตาที่จ้องมองมาอย่างพินิจพิจารณา...คล้ายกับกำลังเลือกสรรสิ่งของบางอย่าง

“แลกกับอะไร”

เสียงนั้นไม่ได้ดังขึ้นกว่าเดิม แต่กลับหนักแน่น ทุ้มลึก และเต็มไปด้วยอำนาจ จนหัวใจของหญิงสาวแทบหยุดเต้น

“ละ...แลก? หนูไม่มีเงิน ไม่มีทอง...ถ้าเป็นแรงงาน หนูก็ขยันค่ะ หนูไม่กลัวเหนื่อย...ไม่ว่างานอะไรหนูก็ทำได้หมดค่ะ”

พลับพลึงรีบร้อนตอบกลับไปอย่างร้อนรน แสดงถึงความไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ

“ฉันไม่ได้พูดถึงเงิน”

คำพูดสั้นๆ แต่เปี่ยมความหมายของเขา ทำให้พลับพลึงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเป็นครั้งแรก และในวินาทีนั้นเอง...พลับพลึงก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ชายหนุ่มตรงหน้าคือ คุณชายภคิน เจ้าของไร่แสนกว้างใหญ่ผู้ซึ่งลี้หนีอดีตอันวุ่นวายจากเมืองหลวง ไม่เคยเปิดบ้านต้อนรับใคร และไม่เคยทำสิ่งใดฟรีให้กับผู้ใดทั้งสิ้น

“เธอจะเอาที่ไร่ฉันไปทำกิน...ก็แลกมากับร่างกายของเธอ”

คำพูดนั้นเรียบง่าย ตรงไปตรงมา แต่กลับกรีดลึกเข้าไปในจิตใจของพลับพลึงราวกับคมมีด ทำให้เธอรู้สึกใจสั่นสะท้าน หูอื้ออึงไปหมด เลือดในกายราวกับไหลย้อนกลับ เธอไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรัก ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้ามาในชีวิต ไม่เคยได้ยินแม้แต่คำหวานซึ้งจากปากใคร แต่ในตอนนี้...เธอกลับต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต เธอจะต้องเลือกว่าจะยอมเสียศักดิ์ศรีของตนเพื่อรักษาชีวิตของแม่ และครอบครัว หรือจะเดินหนีกลับบ้านไปด้วยมือเปล่า ปล่อยให้ชะตากรรมพาไป

ภคินยืนนิ่งไม่เร่งรัด ไม่เอ่ยคำใดๆ ต่อ ปล่อยให้พลับพลึงจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดอันสับสน ดวงตาคมกริบที่คล้ายกับเหยี่ยวที่กำลังจ้องมองเหยื่อของมัน จับจ้องหญิงสาวที่ยืนตัวสั่นระริกอยู่ตรงหน้า เขามองเห็น...เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอกำลังจะร้องไห้ แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกสะทกสะท้านใดๆ ปรากฏในแววตา

“ฉันจะให้เวลาคิด...ห้านาที”

ชายหนุ่มหันหลังกลับเดินหายเข้าไปในบ้าน ร่างสูงใหญ่ แผ่นหลังกว้างของเขาหายลับไปหลัง บานประตูไม้สักที่ปิดลงอย่างช้าๆ เสียงประตูปิดสนิทราวกับเสียงประกาศิตที่ตอกย้ำถึงทางเลือกที่โหดร้าย

พลับพลึงทรุดตัวลงบนพื้นกระดานชานบ้านอย่างหมดเรี่ยวแรง หัวใจของเธอยังคงเต้นแรงระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ริมฝีปากบางสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ มือของเธอเย็นเฉียบไปหมด

ห้านาที...ที่แสนยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์ มันคือช่วงเวลาที่พลับพลึงต้องตัดสินใจเลือกชะตาชีวิตของเธอและครอบครัวแล้วในที่สุด...บานประตูไม้ก็เปิดออกอีกครั้ง

หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลนองอาบแก้ม เธอตัดสินใจแล้ว...

“ตกลงค่ะ...หนูยอมแลก”