บทที่4 พี่น้องกับผู้หญิงคนเดียวกัน
หลายวันต่อมา
หลังจากมุกรินออกไปคุยงานกับลูกค้าด้วยความราบรื่นเธอก็กลับเข้ามาในบริษัท มัณฑนากรสาวหุ่นบางในชุดคล่องตัวเก็บของเสร็จก็เตรียมตัวจะเลิกงาน แต่ถูกเจ้านายหนุ่มก็เอ่ยทักขึ้นก่อน
“จะกลับแล้วเหรอ”
“ค่ะ คุณปริญญ์มีอะไรให้มุกทำหรือเปล่าคะ” มุกรินหันไปตอบเจ้าของบริษัท ปริญญ์ ดีไซน์ ที่เธอทำงานอยู่ นอกจากปริญญ์จะมีสถานะเป็นเจ้านายของเธอแล้วเขายังเป็นรุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเธอ เจ้านายหนุ่มจึงให้ความสนใจพนักงานอย่างมุกรินเป็นพิเศษ แต่สำหรับมุกรินในเวลางาน เธอตระหนักอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่ง จึงมักจะรักษาระยะห่างและให้เกียรติปริญญ์ในฐานะเจ้านายกับลูกน้องเช่นนี้ทุกครั้ง
“เปล่า พอดีวันนี้ผมจะผ่านไปทางบ้านมุก จะติดรถผมกลับด้วยกันไหม” แม้ว่ามุกรินจะพยายามไม่ให้เพื่อนร่วมงานติฉินนินทาว่าเธอใช้อภิสิทธิ์ของการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องมาก่อน แต่สายตาของชายหนุ่มก็ไม่อาจซ่อนเร้นความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายเอาไว้ได้ ปริญญ์มีใจให้มุกรินตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยและเขาก็เคยสารภาพรักกับเธอ แต่เพราะมุกรินไม่มีเคยคิดกับปริญญ์เกินกว่าความเป็นพี่น้อง ในตอนนั้นเธอจึงปฏิเสธเขาไป
“ขอบคุณนะคะแต่วันนี้มุกมีธุระน่ะค่ะ งั้นมุกขอตัวก่อนนะคะ” มุกรินก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษก่อนจะเดินผ่านปริญญ์ไปอย่างพยายามจะไม่ใส่ใจสายตาของพนักงานคนอื่น ๆ จริงอยู่ที่มุกรินเป็นคนมีความสามารถ แต่ความรู้สึกดี ๆ ที่ปริญญ์มีให้เธอก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าหลายครั้งที่เธอมีโอกาสได้ทำงานใหญ่ ๆ เป็นเพราะมีปริญญ์ช่วยสนับสนุน ซึ่งแน่นอนว่าพนักงานในบริษัทต่างก็พากันคิดแบบนี้
เนื่องจากรถคู่ใจยังอยู่ในศูนย์ซ่อม มุกรินจึงต้องนั่งแท็กซี่ไปทำงาน ความจริงเงินเดือนของเธอก็พอจะดาวน์รถใหม่สักคันมาขับ อีกทั้งคุณประภพเองก็เคยจะถอยรถป้ายแดงให้ แต่เธอปฏิเสธจะรับเพราะที่ผ่านมาเธอก็รบกวนคุณประภพมามากพอแล้ว
มุกรินสูญเสียแม่ตอนอายุแปดขวบ มณวดีเป็นลูกคนเดียว พ่อกับแม่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน คงมีเพียงญาติห่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด แต่ทุกคนต่างก็ปฏิเสธการรับเลี้ยงดูหลานเพราะไม่มีใครอยากรับภาระเพิ่ม ส่วนญาติฝ่ายพ่อก็ไม่สามารถติดต่อใครได้ เด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบขวบจึงกลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร แม้กระทั่งพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ขาดการติดต่อ
เกียรติ ถูกผีพนันเข้าสิงจนไม่สนใจลูกน้อยกับภรรยา บกพร่องต่อหน้าที่ของการเป็นหัวหน้าครอบครัว มณวดีถูกสามีทำร้ายร่างกายเพราะต้องการเอาเงินไปผลาญในบ่อน เป็นสาเหตุให้มณวดีตัดสินใจหย่าขาดกับสามีและเลี้ยงลูกตามลำพัง ทว่าโชคชะตาก็ไม่ได้โหดร้ายกับมุกรินจนเกินไป ชีวิตของเด็กน้อยคนหนึ่งเหมือนฟ้าหลังฝน หลังงานศพของมณวดีเสร็จสิ้นคุณประภพก็มารับมุกรินไปอยู่ด้วย ซึ่งตอนนั้นเธอก็คุ้นเคยกับคุณประภพอยู่แล้วเพราะเคยมาที่บ้านบ่อยครั้งและคุณประภพก็ยังเคยให้ความช่วยเหลือสองแม่ลูก อีกอย่างหนึ่งที่มุกรินให้ความไว้วางใจจนยอมไปอยู่กับคุณประภพเป็นเพราะก่อนหน้านั้นมณวดีเคยสั่งเสียเอาไว้
ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วมุกไปอยู่กับคุณลุงภพนะลูก แล้วพอโตขึ้นมุกจะต้องกตัญญูต่อคุณลุงให้มาก ๆ นะรู้ไหม
แววตาของคุณประภพในวันนั้นอ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนกับวันแรกที่เด็กหญิงรู้จัก คุณลุงใจดีได้พูดกับเธอขณะเอามือลูบศีรษะเธอเบา ๆ
จากนี้ไปลุงจะเป็นคนดูแลหนูมุกเอง ลุงจะให้ชีวิตใหม่แก่หนู ลุงจะชดเชยทุกอย่างให้แม่ของหนูมุก ลุงสัญญา
เด็กในวัยเพียงแปดขวบไม่อาจเข้าใจความหมาย และเมื่อวันเวลาผ่านไปมุกรินก็ค่อย ๆ ลืมเลือนคำพูดเหล่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่จดจำได้ขึ้นใจคือหนี้บุญคุณที่เธอจะต้องตอบแทน คุณประภพได้ให้ชีวิตใหม่ ให้ที่ซุกหัวนอน ให้กินอิ่มท้อง ให้เงินและให้การศึกษา สักวันเธอจะต้องทดแทนหนี้บุญคุณนี้ ต่อให้ต้องแลกกับความสุขทั้งชีวิตก็ตาม
คุณประภพให้มุกรินย้ายออกมาจากบ้านหลังเดิมเพราะสังคมและสภาพแวดล้อมที่นั่นไม่เหมาะให้เธออยู่ โดยคุณประภพได้จ้างให้คนตามหาญาติของเกียรติจนเจอในที่สุด หลังทราบเรื่องราวและความเลวร้ายของน้องชายตนเอง อนงค์ ก็รับปากกับคุณประภพว่าจะเป็นคนดูแลหลานสาวให้ดีที่สุด คุณประภพเห็นถึงความเอ็นดูหลานของผู้เป็นป้าแท้ ๆ ก็ได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งให้ป้ากับหลานอยู่และได้ส่งเงินให้ใช้จ่ายทุกเดือนเพราะคุณประภพเองไม่สามารถรับเลี้ยงมุกรินอย่างเปิดเผยได้
แม้ระหว่างคุณประภพกับมณวดีจะเป็นเพียงอดีตคนรักที่มีเพียงความห่วงใยให้กัน แต่คนนอกรวมถึงภรรยาในสมรสอย่างคุณตะวันฉายกลับปักใจเชื่อว่าทั้งคู่ยังแอบไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งจนมีลูกด้วยกันนั่นก็คือ มุกริน จริงอยู่ว่าคุณประภพสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการตรวจความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้ แต่การที่เขารับลูกของมณวดีมาเลี้ยงดูอย่างไรเสียคนอื่นก็ต้องมองไม่ดีอยู่วันยังค่ำ และสิ่งที่คุณประภพเป็นห่วงยิ่งกว่าชื่อเสียงและคำติฉินนินทาเหล่านั้นคือความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งที่ต้องเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า
มุกรินเป็นเด็กเรียนดี คุณประภพจึงได้ส่งเสียให้เธอเรียนต่อ จนกระทั่งเมื่อเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เธอก็ได้เลือกเรียนคณะออกแบบตกแต่งภายในซึ่งเป็นสายอาชีพที่คุณประภพปลูกฝังให้เธอเรียนรู้ตั้งแต่เด็กและบังเอิญว่ามุกรินเองก็สนใจในด้านนี้ เธอจึงตั้งใจเรียนและได้ทำงานในสายอาชีพของมัณฑนากรตามความต้องการของคุณประภพ
มุกรินนั่งแท็กซี่มายังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพราะเมื่อวานคุณประภพติดต่อมาว่าอยากทานข้าวกับเธอ แต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้าน มัณฑนากรสาวก็ก้มมองดูเสื้อเชิ้ตราคาไม่กี่ร้อยบาท กับกางเกงขายาวสุดแสนธรรมดาที่สวมใส่อยู่แล้วพ่นลมออกมาทางปาก ถ้ารู้ว่าคุณประภพจะนัดเธอมาทานข้าวร้านอาหารหรูหราขนาดนี้เธอก็คงเตรียมชุดมาเปลี่ยน อันที่จริงเธอก็น่าจะคิดได้แต่แรกเพราะคุณลุงประภพของเธอบอกว่าวันนี้จะแนะนำให้เธอรู้จักกับใครคนหนึ่ง จากที่คุณประภพเล่าให้ฟังว่าเขาเคยทำงานเป็นสถาปนิกมาก่อน จึงเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้รู้จักคนเก่ง ๆ
บริกรหญิงเดินนำมุกรินไปยังโต๊ะที่ถูกจองเอาไว้ล่วงหน้าซึ่งมีความเป็นส่วนตัว โดยแต่ละโต๊ะจัดอยู่ในระยะห่างกันพอสมควร ร้านอาหารแห่งนี้อยู่ในย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร โดยฝั่งหนึ่งติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกฝั่งเต็มไปด้วยตึกสูงเรียงราย ทัศนียภาพยามพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าจึงสวยงามเสียจนมัณฑนากรสาวอดชื่นชมไม่ได้
“แล้วคนที่โทรมาจองโต๊ะยังมาไม่ถึงเหรอคะ” มุกรินเอ่ยถามบริกรของร้านด้วยความแปลกใจ ปกติคุณลุงประภพของเธอไม่เคยมาช้ากว่าเวลานัด
“ยังค่ะ แต่คุณประภพแจ้งไว้ว่าให้ลูกค้าสั่งอาหารรอได้เลยค่ะ” ว่าแล้วบริกรหญิงก็ส่งเมนูอาหารให้มุกรินแต่เธอไม่ถนัดสั่งอาหารแพง ๆ เหล่านี้ บวกกับเธออยากรอให้คุณประภพมาถึงก่อนจึงสั่งไปเพียงน้ำส้มคั้นแก้วเดียว
มุกรินนั่งรอผู้นัดหมายไม่นานตาคู่สวยก็เหลือบไปเห็นร่างสูงยืนไม่ห่างจากโต๊ะ ดวงตาเรียวรีมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ เพราะเธอคิดไม่ถึงว่าคนที่คุณประภพนัดให้เธอมาเจอวันนี้จะเป็นคนในครอบครัว ตั้งแต่เธอได้รับการส่งเสียเลี้ยงดู คุณประภพก็ไม่เคยพาเธอไปทำความรู้จักกับคนในบ้านอัครราช รู้เพียงว่าภรรยาของคุณประภพเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
“คุณมุกริน” ขณะที่มุกรินนั่งนิ่งเหมือนถูกสาปเป็นก้อนหิน อาทิตย์ก็ขมวดคิ้วหนาพลางเอ่ยทักด้วยสีหน้าแปลกใจไม่ต่างกัน
เขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าคนที่จะมาเจอคือเธองั้นเหรอ คุณประภพจะทำอะไรกันแน่นะ ทำไมจู่ ๆ ถึงให้เธอมาเจอลูกชายตนเอง
มุกรินลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อยเพราะเธอไม่คิดว่าจะได้เจอกับอาทิตย์ที่นี่ คนที่หลีกเลี่ยงมาได้ตลอดกลับปรากฏตัวในเวลาไล่เลี่ยกันถึงสองครั้งสองครา
ไม่สิ ต้องบอกว่าอาทิตย์เป็นคนที่เธอไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้งต่างหาก
"คุณลุงภพบอกว่าจะแนะนำคนคนนึงให้ฉันรู้จัก แต่ฉันก็ไม่คิดว่าคนคนนั้นจะเป็นคุณอาทิตย์” เมื่อไม่สามารถเลี่ยงการเผชิญหน้ากันได้และเธอก็เชื่อว่าคนอย่างคุณประภพคงจะมีเหตุผลบางอย่างถึงให้เธอมาเจออาทิตย์ เธอจึงไม่คิดจะปิดบังเรื่องที่รู้จักกับคุณประภพเป็นการส่วนตัว ถ้าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าระหว่างเธอกับคุณประภพมีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวเหมือนอย่างพวกเสี่ยกระเป๋าหนักที่ชอบมีบ้านเล็กบ้านน้อยเธอก็แค่ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ
“คุณพ่อคงจะให้คุณมุกรินมาเจอพี่ชายผมน่ะครับ แต่พอดีว่าพี่ชายผมต้องบินไปต่างประเทศด่วนเลยขอให้ผมมาแทน”
วันเดียวกัน
ท้องฟ้ามืดสนิท บ้านอัครราชทั้งหลังเต็มไปด้วยความเงียบเชียบ หลังจากแม่บ้านเก่าแก่ตรวจตราดูความเรียบร้อยเสร็จแล้วก็กลับไปยังห้องพักซึ่งแยกออกไปจากตัวบ้านต่างหาก แม้คุณประภพจะไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทในฐานะผู้ก่อตั้ง ตะวันฉาย ดีไซน์ แต่ก็ยังออกสังคมทุกวัน ด้าน ภาสกร ลูกชายคนโต เมื่อสองปีก่อนได้ผันตัวจากสถาปนิกไปเปิดธุรกิจส่วนตัว อย่างเช่นวันนี้ ภาสกรต้องเดินทางไปดูงานต่างประเทศกะทันหัน บ้านหลังใหญ่โตจึงไร้ปฏิสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เพราะลูกชายอีกคนกว่าจะกลับเข้าบ้านก็มืดค่ำ
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งยังโซฟาภายในห้องโถงใหญ่ นิ้วเรียวยาวจัดการปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนเอนแผ่นหลังพิงโซฟา ดวงตาคมกล้าปิดลงสนิทจมดิ่งไปกับความมืดมิด ภายนอกคนอื่นอาจมองว่าสถาปนิกหนุ่มอย่างอาทิตย์ อัครราช เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่าง สามารถใช้ชีวิตสนุกได้ดั่งใจต้องการ หากแต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงาและเก็บซ่อนความรู้สึกมืดบอดจนยากที่ใครจะเข้าถึง
“อ้าว คุณทิตทำไมมานั่งอยู่มืดๆแบบนี้ล่ะคะฟืนไฟก็ไม่เปิด” นอกจากจันทร์แรมหรือป้าจันทร์ จะเป็นคนดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างในบ้าน ยังเลี้ยงดูอาทิตย์มาตั้งแต่เด็ก หญิงวัยกลางคนจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นห่วงเมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่มืด ๆ คนเดียว
“ช่วยไปเอาเหล้ามาให้ผมหน่อยสิครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขณะดวงตายังคงปิดลง แผ่นหลังกว้างเอนไปกับโซฟาคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง
“ดึกแล้วยังจะดื่มอีกเหรอคะ” ป้าจันทร์เห็นอาทิตย์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก สมัยเด็กหลังเลิกเรียนอาทิตย์มักจะเข้าไปช่วยป้าจันทร์ทำนั่นทำนี่ในครัว ทั้งสองคนจึงสนิทสนมกันไม่ต่างจากเครือญาติ เมื่อก่อนอาทิตย์เป็นเด็กร่าเริง คอยสร้างรอยยิ้มและความสดใสให้กับบ้านอัครราชไม่ต่างจากชื่อของเขา แต่หลังจากคุณตะวันฉายเสียชีวิต ป้าจันทร์ก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มและความสดใสจากอาทิตย์ดวงนั้นอีกเลย
“ผมดื่มไม่เยอะหรอกครับแค่พอให้นอนหลับ” ป้าจันทร์ยืนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะเดินไปหยิบสิ่งที่ชายหนุ่มร้อง แม้ว่าป้าจันทร์จะไม่เห็นด้วยแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ นอกจากภาวนาให้อาทิตย์ได้เจอผู้หญิงสักคนที่จะคอยมาอยู่เคียงข้าง เปลี่ยนอาทิตย์มืดมิดดวงนี้กลับมาส่องแสงสว่างอีกครา
“วันก่อนป้าแอบได้ยินว่าคุณท่านจะหาผู้หญิงให้มาแต่งงานกับคุณกร คุณทิตรู้เรื่องนี้ไหม” หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยความเป็นกันเอง
ป้าจันทร์สนิทกับอาทิตย์มากกว่าคนพี่อย่างภาสกร เพราะที่ได้เข้ามาทำงานในบ้านอัครราชก็เพราะคุณตะวันฉายจ้างให้มาเป็นพี่เลี้ยงของอาทิตย์ ส่วนภาสกรจะเป็นพี่เลี้ยงอีกคน ซึ่งตอนนี้ลาออกไปทำงานที่อื่นแล้ว
“เหรอครับ” ชายหนุ่มตอบโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ สายตาคมจดจ่ออยู่กับแก้วเหล้าก่อนที่เสียงแค่นหัวเราะในลำคอจะดังขึ้น ทว่าจู่ ๆ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็หันไปพูดอย่างคนอารมณ์ดี
“อย่างพี่กรไม่เหมาะกับผู้หญิงคนนั้นหรอกครับ” แม้จะปรากฏรอยยิ้มบนมุมปากหยักหนา หากแต่สายตากลับฉายความเยียบเย็น ต่างจากอาทิตย์คนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน
ย้อนไปเมื่อสามปีก่อนตอนที่ภาสกรยังทำงานเป็นสถาปนิกในบริษัทตะวันฉาย ดีไซน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของครอบครัวอัครราช จำได้ว่าวันนั้นภาสกรไปดูความเรียบร้อยของงานงานหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่มุกรินเพิ่งจะเข้าทำงานที่บริษัทออกแบบของปริญญ์ได้ไม่นาน วันนั้นมุกรินได้รับมอบหมายให้ไปคุยรายละเอียดงานกับผู้ว่าจ้าง ภาสกรจึงได้เจอกับมุกรินที่นั่นเป็นครั้งแรก
เป็นความบังเอิญที่วันนั้นภาสกรลืมเอกสารสำคัญติดไปด้วย อาทิตย์เลยอาสาเอาเอกสารที่ว่าไปให้พี่ชาย
ภาสกรต้องไปคุยงานกับลูกค้าที่เขารับผิดชอบออกแบบร้าน จึงมีโอกาสได้เจอกับมัณฑนากรซึ่งลูกค้านัดมาคุยรายละเอียดงานพร้อมกัน ท่าทางที่ดูทุ่มเทให้กับการทำงาน ความตั้งใจที่ต้องการให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ หรือแม้แต่สายตาที่กำลังประเมินพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ภาสกรรู้สึกชื่นชมในตัวมุกริน ความจริงก่อนหน้าเขามีโอกาสได้คุยกับลูกค้าเกี่ยวกับมัณฑนากรผู้รับหน้าที่ตกแต่งภายในไปบ้างแล้ว เลยรู้ว่ามุกรินเพิ่งจะเรียนจบได้ไม่กี่เดือน แต่ความละเอียดอ่อนและความใส่ใจทุกกระเบียดนิ้วซึ่งมีความคล้ายกันกับตัวเองภาสกรเลยเกิดความประทับใจจนอยากทำความรู้จัก
เพล้ง!!
ระหว่างที่ภาสกรกำลังชื่นชมมัณฑนากรสาวเงียบ ๆ ลูกชายของลูกค้าเกิดทำแก้วแตก เด็กชายในวัยเพียงไม่กี่ขวบร้องไห้เพราะตกใจและกลัวว่าตัวเองจะถูกดุ มุกรินเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปหาเด็กชายทันที หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าเศษแก้วไม่ได้บาดส่วนไหนของเด็กเธอก็นั่งยอง ๆ พร้อมกับลูบผมเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน และความอ่อนโยนนี้เองที่กระทบภายในจิตใจลึก ๆ ของภาสกรเข้า
“ไม่ร้องนะคะคนเก่งเดี๋ยวพี่ช่วยเก็บเศษแก้วให้เอง”
“แต่กัชทำแก้วแตกแม่ต้องดุกัชและตีกัชแน่เลยครับ” เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อได้ยินแบบนี้มุกรินก็ถามออกไปว่า
“แล้วน้องกัชได้ตั้งใจทำแก้วหล่นไหมครับ” เด็กชายส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “กัชไม่ได้ตั้งใจครับกัชเดินสะดุดของเล่นครับ”
“ถ้างั้นคุณแม่ก็คงไม่ดุน้องกัชหรอกครับ ก็น้องกัชไม่ได้ตั้งใจนี่”
“จริงเหรอครับ” เด็กชายถามพี่สาวแปลกหน้าด้วยแววตาใสซื่อ
“จริงสิครับ ไม่มีแม่คนไหนจะดุหรือตีลูกที่ไม่ได้ตั้งใจทำให้ข้าวของเสียหายหรอกครับ เชื่อพี่สิ ตอนเด็กๆคุณแม่พี่ก็ไม่ดุตอนที่พี่ไม่ได้ตั้งใจทำแก้วแตกเหมือนกัน”
“งั้นกัชจะไปบอกคุณแม่ว่ากัชสะดุดของเล่นแล้วล้มเลยทำแก้วแตก” เด็กน้อยปาดน้ำตาลวก ๆ หลังได้ฟังพี่สาวใจดีปลอบโยน
“ดีมากครับ แล้วต่อไปน้องกัชก็ต้องเก็บของเล่นทุกครั้งที่เล่นเสร็จด้วย รู้ไหมครับ”
“ครับ” เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก และในตอนนั้นแม่ของเด็กซึ่ง เป็นลูกค้ากลับเข้ามาหลังจากออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก มุกรินอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง โดยที่แม่ของเด็กไม่ได้ดุลูกแต่อย่างใด
ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ในสายตาของภาสกร ทีแรกเขาตั้งใจจะเข้าไปหาเด็กคนนั้นแต่พอเห็นมุกรินเข้าไปก่อน เขาจึงยืนดูอยู่เงียบ ๆ
ตอนภาสกรอายุได้ห้าขวบเขามีเหตุการณ์ฝังใจหนึ่ง เขาเคยทำแก้วที่คุณตะวันฉายหวงแหนหล่นแตก ภาสกรพยายามจะอธิบายกับแม่ว่าไม่ได้ตั้งใจแต่ผู้เป็นแม่กลับไม่ยอมฟัง หนำซ้ำยังต่อว่าว่าเขาอยู่ยกใหญ่
แม้จะไม่ได้ตบตีแต่การที่แม่คนหนึ่งไม่ยอมรับฟังเหตุผลเอาแต่เกรี้ยวกราด ทำให้ภาสกรเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ บวกกับตอนนั้นไม่มีใครเข้ามาปลอบโยน ไม่มีคนเข้าอกเข้าใจเขาเหมือนกับที่มุกรินทำกับเด็กคนนั้น ความอ่อนโยนของเธอจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ภาสกรเกิดความประทับใจจนยากจะลบภาพของเธอออกไปได้
จังหวะที่มุกรินกำลังหมุนตัวเพื่อกลับไปทำงานต่อเธอก็มองเห็นภาสกรยืนอยู่ พอภาสกรถูกจับได้ว่าตัวเองกำลังยืนมองคนอื่นอย่างเสียมารยาทเขาจึงถือโอกาสเข้าไปทำความรู้จัก
“เอ่อ…โทษทีนะครับผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบมอง ไม่ใช่สิ ผมไม่ได้ตั้งใจจะยืนดูคุณ” ยิ่งพูดภาสกรยิ่งรู้สึกได้ว่าเขากำลังแสดงอาการประหม่าจนพูดผิด ๆ ถูก ๆ ซึ่งต่างจากเวลาปกติ
“ไม่เป็นไรค่ะฉันไม่ได้จะว่าอะไรคุณสักหน่อย” ตอนแรกมุกรินเพียงรู้สึกตกใจเพราะสถาปนิกที่ดูแลงานนี้เป็นอีกคนหนึ่ง หากแต่อากัปกิริยาที่ภาสกรแสดงออกมันทำให้เธอลืมความตกใจไปเสียสนิท
“นั่นสินะครับ” ภาสกรยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างคนเสียอาการ
“งั้นฉันขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ” เมื่อมุกรินหันกลับมาภาสกรก็ตัดสินใจถามเรื่องที่กำลังสงสัยอยู่
“คุณเป็นคนตกแต่งบ้านให้คุณเจตรินใช่ไหมครับ บ้านแฝดแถวรามอินทราน่ะครับ เขาเป็นเพื่อนผมเองครับ คือ...ผมเห็นการตกแต่งของคุณแล้ว ผมชอบมากเลยครับ” ตอนนั้นภาสกรไม่ทันได้ถามเพื่อนว่าได้มัณฑนากรฝีมือดีมาจากไหน จนเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งรู้ว่าลูกค้าคนนี้ใช้บริการจากมัณฑนากรคนเดียวกัน
“ อ๋อ ใช่ค่ะ ถ้างั้นคุณก็คือสถาปนิกที่ออกแบบบ้านให้คุณเจตใช่ไหมคะ” ดวงหน้างดงามฉายความตื่นเต้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง เพราะงานนั้นเป็นงานแรกของเธอ พอมีคนชื่นชมฝีมือการทำงานมัณฑนากรแกะกล่องใหม่จึงเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมภาสกรครับ”
“มุกรินค่ะ” มุกรินยื่นมือออกไปทำความรู้จักกับอีกฝ่าย แม้จะรู้อยู่แล้วว่าสถาปนิกหนุ่มมาดดีตรงหน้าคือลูกชายคนโตของคุณประภพ แต่ในเมื่อเป็นเหตุการณ์สุดวิสัยเธอก็ยากจะหลีกเลี่ยง
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะพอดีนัดคุณวิภาดูแบบไว้ตอนสิบโมง” เธอพูดพลางมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเล็กเพื่อจะบอกอีกฝ่ายว่าเหลืออีกไม่มากแล้ว ร่างบางหมุนตัวออกไปทันที ทว่ายังเดินไม่ถึงไหนอีกฝ่ายก็เดินมาดักตรงหน้า
“ผมขอรบกวนเวลาคุณแป๊ปเดียวครับ” พอเห็นมุกรินแสดงสีหน้าเหมือนกำลังถามว่า เขามีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอ ภาสกรก็พูดด้วยท่างทางสุภาพ
“เอ่อ คือ…ตอนนี้บริษัทของผมกำลังมองหามัณฑนากรฝีมืออย่างคุณมุกรินอยู่ ถ้าสนใจยังไงติดต่อผมมาได้นะครับ” ภาสกรรู้สึกสนใจในตัวมัณฑนากรสาว แต่ไม่สันทัดเรื่องการเข้าหาผู้หญิงเลยไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นทำความรู้จักกับอีกฝ่ายยังไง สุดท้ายจึงใช้เรื่องงานมาเป็นข้ออ้าง
“ขอบคุณมากนะคะ แต่ดิฉันเพิ่งเรียนจบแล้วก็เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงเดือนคงยังต้องหาประสบการณ์อีกเยอะ ขอตัวก่อนนะคะ” แม้จะดูเป็นการเสียมารยาทแต่มุกรินก็คิดตามนี้ เจ้าของร่างบางหันหลังเดินออกไปหลังจากพูดจบ ภาสกรมองตามแผ่นหลังบางอย่างรู้สึกเสียดายโอกาส ไม่บ่อยนักที่เขาจะถูกใจผู้หญิงสักคน แต่เขาก็ดันถูกปฏิเสธตั้งแต่คิดจะทำความรู้จัก
ภาพการพูดคุยระหว่างทั้งคู่อาทิตย์ได้ยินทุก แววตาตอนที่ภาสกรมองตามมุกรินออกไปนั้นทำให้อาทิตย์รู้ว่าพี่ชายคงจะเกิดถูกใจมุกรินขึ้นมา และภาสกรก็คงไม่รู้ว่ามุกรินคนนี้ได้รับการส่งเสียเลี้ยงดูจากพ่อตัวเองอยู่
“คุณทิตรู้จักผู้หญิงที่คุณท่านจะแนะนำให้คุณกรรู้จักด้วยเหรอคะ” ป้าจันทร์อดสงสัยไม่ได้เพราะไม่คิดว่าอาทิตย์จะรู้จักกระทั่งผู้หญิงที่คุณประภพหามาให้ภาสกรดูตัว
“รู้จักสิครับ ก็ผมเพิ่งไปเจอมาวันนี้” เจ้าของใบหน้าเยือกเย็นไม่ต่างจากน้ำแจ็งในแก้วหยัดกายขึ้นจากโซฟาตัวหรู ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้อง แม่บ้านวัยกลางคนมองตามชายหนุ่มโดยไม่ได้ถามความสงสัยออกไปที่อาทิตย์พูดราวกับว่าเขารู้จักฝ่ายหญิงดี ยิ่งไปกว่านั้น…แววตาคมกล้ายังดูเหมือนภูเขาไฟที่รอวันปะทุออกมาเป็นลาวาเดือด
ภายในห้องอันไร้แสงสว่างร่างสูงทิ้งกายลงบนเตียงราวกับคนหมดเรี่ยวแรง หลังจากเหล้าอึกสุดท้ายลงคอเปลือกตาทั้งสองก็ค่อย ๆ ปิดลง ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้โลกของอาทิตย์ตอนนี้เต็มไปด้วยความมืดมิดเคว้งขว้าง ภาพการสูญเสียแม่ของเด็กเพียงไม่แปดขวบยังคงฉายชัด เป็นฝันร้ายตามหลอกหลอน จนต้องพึ่งเหล้าหรือไม่ก็ยาชนิดที่ทำให้เกิดการนอนหลับผ่านพ้นค่ำคืนแห่งความมืดมนไปได้
