บทที่2 จากจุดเริ่มต้น 2
บนท้องถนนในยามวิกาลโล่งจนอาทิตย์สามารถใช้ความเร็วได้ดั่งใจ หลังจากทิ้งเพื่อนทั้งสองคนเอาไว้ที่ไนท์คลับอาทิตย์ก็ขับรถออกมาอย่างไร้จุดมุ่งหมาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรตอนนี้เขาถึงได้ขับรถมาจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านของผู้หญิงที่เขากำลังจะแต่งงานด้วยในอีกไม่กี่วันนี้
แสงไฟนีออนบนชั้นสองของตัวบ้านที่ยังเปิดสว่างอยู่นั้น ใบหน้าด้านหนึ่งที่มองเห็นไกล ๆ จากบานหน้าต่าง ทำให้เขาเกิดความสงสัยว ดึกป่านนี้แล้วทำไมเธอถึงยังนั่งทำงานอยู่ ปกติผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับการพักผ่อนหรือการดูแลตัวเองก่อนถึงวันแต่งงานไม่ใช่หรือไง ทว่าว่าที่เจ้าสาวของเขากลับไม่เป็นอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนแล้วที่สายตาคมกริบยังคงจ้องมองไปยังชั้นสองของบ้าน ทุกอิริยาบถของเธอล้วนตราตรึงอยู่ในหัวใจโดยที่อาทิตย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงธรรมดา ๆ เช่นเธอถึงดึงดูดสายตาเขาได้มากมายเพียงนี้ และเผลอไม่เท่าไหร่อาทิตย์ก็นั่งอยู่ในรถที่ไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ร่วมชั่วโมง ซึ่งชัดเจนว่าจุดหมายปลายทางในค่ำคืนความสับสนหาใช่คลับบาร์ที่มีสิ่งยั่วยุหรือผู้หญิงสักคนนั่งเอาใจ หากแต่เป็นที่ที่เขาทำได้เพียงมองอยู่ไกล ๆ เท่านั้น
เมื่อจอคอมพิวเตอร์ดับลงอาทิตย์ก็ขยับกายจากเบาะรถด้วยความรู้สึกเสียดาย สันนิษฐานว่ากว่ายี่สิบนาทีที่เธอไม่ได้อยู่ตรงหน้าต่างบานนั้นคงเพราะไปอาบน้ำ ทว่าอิริยาบถสุดแสนธรรมดาที่เจ้าของร่างบางแค่ยืนเช็ดผมที่ปียกนั้น กลับเป็นภาพที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาจากเธอแม้สักวินาที
อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
เสียงพึมพำดังขึ้นในความเงียบพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนมุมปากหยักหนา หลังจากที่ไฟในห้องนั้นมืดสนิทแล้ว
สองเดือนก่อน
“คุณผู้ชายรออยู่ในห้องทำงานค่ะ” เมื่อแขกคนสำคัญซึ่งเจ้าของบ้านแจ้งไว้เดินทางมาถึง แม่บ้านคนเก่าแก่ก็ออกมาต้อนรับขับสู้ทนายความประจำตระกูล ได้ยินดังนั้นทนายความหนุ่ม ดนุนัย วงษ์วิวัตน์ ก็เร่งฝีเท้าตรงไปยังห้องหนึ่งตามที่แม่บ้านได้แจ้งรายงาน
“มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ” หลังได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง คุณประภพก็เอ่ยทักทนายความรุ่นลูกด้วยความเป็นกันเองเนื่องจากดนุนัยเป็นเพื่อนกับลูกชาย อีกทั้งครอบครัวของดนุนัยก็เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้ตระกูลอัครราชมาตั้งแต่รุ่นปู่ ความสัมพันธ์ของทนายความกับผู้ว่าจ้างจึงไม่ต่างจากญาติมิตร
“คุณลุงเรียกผมมาวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญใช่ไหมครับ” หากไม่มีคดีความหรือเรื่องทรัพย์สินที่จะให้ดำเนินการ ทนายความเช่นเขาคงไม่ถูกเรียกตัวมาเป็นการด่วน ดนุนัยจึงเดาได้ทันทีว่าคุณประภพคงจะมีเรื่องสำคัญให้เขาทำอย่างแน่นอน
“จำเรื่องที่ลุงเคยบอกเมื่อคราวที่แล้วได้ไหม” ทนายดนุนัยใช้เวลาตรึกตรองเพียงอึดใจเดียวก็ตอบกลับไปว่า” เรื่องลูกสาวของเพื่อนคุณลุงที่เสียไปแล้วใช่ไหมครับ”
คุณประภพพยักหน้ารับก่อนจะส่งซองสีน้ำตาลไปให้อีกฝ่าย ข้อความในกระดาษได้ระบุเรื่องสำคัญอย่างที่ทนายความหนุ่มคาดการณ์เอาไว้
“แล้วคุณลุงเลือกได้หรือยังครับว่าจะเป็นพี่กรหรือไอ้ทิต” พอดนุนัยเข้าประเด็น สายตาของคุณประภพก็ฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะที่วันนี้คุณประภพเรียกทนายความมาหาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
“ลุงว่าจะไปคุยกับกร เราคิดว่าไง”
“บอกตามตรงนะครับระหว่างสองคนนี้ ผมว่าพี่กรน่าจะคุยง่ายกว่าถ้าเทียบกับไอ้ทิต” ด้วยความเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็กดนุนัยจึงรู้จักนิสัยใจคอลูกชายคนนี้ของคุณประภพดี สถาปนิกหนุ่มผู้หวงความโสดราวกับสมบัติพันล้านแถมยังบ้างานอีกต่างหาก ดนุนัยจึงคิดว่าคนหัวรั้นอย่างนั้นไม่มีทางจะยอมฟังคำขอจากพ่อของเขาแน่ ๆ
“ลุงก็คิดอย่างนี้” คุณประภพเห็นด้วยกับความคิดของทนายหนุ่ม ภาสกร บุตรชายคนโตเชื่อฟังคำพูดบิดามาแต่ไหนแต่ไร และยิ่งคุณประภพมีเหตุผลในการใช้โน้มน้าวลูกชายตัวเอง เชื่อว่าการคลุมถุงชนครั้งนี้น่าจะมีความเป็นไปได้
“แต่ยังไงลุงก็ไม่อยากใช้วิธีบังคับ”
“ยังไงเหรอครับ” ทนายดนุนัยถามด้วยความสนอกสนใจ
“มุกรินไม่ใช่ผู้หญิงขี้ริ้วขี้เหร่ที่จะไม่มีผู้ชายมาสนใจ ลุงเลยคิดว่าจะให้เขาสองคนได้ทำความรู้จักกันดูก่อน”
“ก็ดีนะครับ เผลอๆ พี่กรอาจจะสนใจลูกสาวของเพื่อนคุณลุงจนมาพูดกับคุณลุงเองก็ได้” ดนุนัยเห็นด้วยกับความคิดนี้ เท่าที่เขาเคยเจอสองสามครั้งเธอคนนั้นเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งทำงานเก่ง แล้วเธอยังเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากคนหนึ่ง ดนุนัยจึงเห็นว่าการคลุมถุงชนคราวนี้อาจจะง่ายกว่าที่คิด
“งั้นลุงฝากจัดการเอกสารพวกนี้ให้ด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด ว่าแต่คุณลุงคิดดีแล้วเหรอครับ” พินัยกรรมที่คุณคุณประภพเขียนขึ้นมาใหม่เพื่อการคลุมถุงชนนี้โดยเฉพาะอาจทำให้ลูกชายอีกคนเกิดความไม่พอใจผู้เป็นพ่อได้ ดนุนัยในฐานะทนายความจึงต้องถามให้แน่ใจอีกครั้ง ซึ่งคุณประภพเองก็ได้ยืนยันคำตอบด้วยความหนักแน่น
“อืม ลุงคิดดีแล้ว ไม่ว่ายังไง ลุงก็อยากทำตามที่เคยตั้งใจเอาไว้” ดนุนัยรับคำสั่งในทันที ทว่าทนายความหนุ่มที่สามารถเอาชนะคดีความมานักต่อนัก กลับเดาไม่ออกเลยว่าทำไมตอนนี้สายตาของชายวัยกลางคนจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดมากมายขนาดนั้น
