บทที่ 1 นางคือต้นเหตุ
บทที่ 1 นางคือต้นเหตุ
ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน วันที่ขบวนขันหมากจากเมืองเหยียนยกข้ามแดนไปถึงเมืองต้าหยาง
เขาเพิ่งอายุได้สิบสองปี ยังจำได้ดีว่าในวันนั้นฟ้าสีครามสดใส ขบวนม้าเรียงแถวเป็นระเบียบยาวเหยียด ธงประจำเมืองปลิวไสว ขลุ่ยแตรดังก้องในหุบเขาราวเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์
บิดาของเขาเจ้าปกครองเมืองเหยียน ได้ทำสัญญาหมั้นหมายบุตรชายคนโตกับบุตรสาวคนโตแห่งเมืองต้าหยาง
เป็นการเชื่อมสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างสองเมืองที่เฝ้าระแวงกันมาช้านาน และในวันนั้น เขาเห็นนางเป็นครั้งแรกหญิงสาวผู้ถูกกล่าวขานว่างามเลิศในใต้หล้า เพียงยืนอยู่หลังม่านไหมก็ทำให้พี่ชายเขาผู้เคร่งขรึมตลอดเวลา ถึงกับยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบปี
โจวอวี้เหยียนจำแววตาพี่ชายในวันนั้นได้ดีมันคือความรักแบบโงหัวไม่ขึ้นหลังจากหมั้นหมาย พี่ชายของเขาก็เดินทางไปเยี่ยมนางทุกปี
ปีใหม่ก็ไป ฤดูเก็บเกี่ยวก็ไป
ทุกครั้งจะมีของขวัญติดมือไปให้ ไม่เคยซ้ำ ไม่เคยขาด เครื่องประดับจากแดนไกล ผ้าทอจากราชสำนัก เครื่องหอมจากต่างถิ่นพี่ชายเขาหาได้หมด ขอเพียงนางยิ้มให้
แม้ตัวเขาในตอนนั้นจะยังไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดพี่ชายจึงเปลี่ยนไปมากเช่นนั้น
แต่เวลาผ่านไป เขาก็เริ่มเข้าใจ… นางมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างประหลาด รอยยิ้มของนางอ่อนโยนแต่ซ่อนคม หากใครมองนานไปก็ยากจะถอนตัว
กระทั่งถึงปีที่พี่ชายเขาอายุครบสิบหก
พี่ชายเขากล่าวกับบิดาว่า ปีนี้จะมอบของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดให้นาง ก่อนจะถึงวันแต่งงานในปีหน้า ของขวัญนั้นคือ ผ้าคลุมจากหนังเสือดำสัตว์ที่เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ความรัก และการปกป้อง
ในวันนั้น เขาและพี่ชายจึงพาเขาเดินทางเข้าป่าลึกด้วยกัน เสือดำมีอยู่เพียงไม่กี่ตัวในป่าทึบทางเหนือ พวกเขาต้องตั้งค่ายพักแรมหลายวัน ท่ามกลางเสียงคำรามของสัตว์ร้ายและลมหายใจหนาวเหน็บของภูเขา
แต่แล้ว…
ขณะที่การตามล่าเพิ่งเริ่มต้น หน้าผาที่เขากับพี่ชายเข้าไต่ขึ้นไปมีถ้ำซ่อนอยู่เพื่อตามรอยเสือ ภูเขาก็สั่นสะเทือน เสียงแผ่นดินแตกดังลั่น ถล่มลงมาอย่างฉับพลัน
เขายืนอยู่เบื้องล่างมองเห็นฝุ่นผงคลุ้งฟ้ามองเห็นผืนผ้าสีแดงที่พี่ชายใช้หนังเสือลอยละลิ่ว ร่วงลงมากลางอากาศ…
วันนั้นไม่มีใครได้กลับมา เขารอดเพียงคนเดียว ด้วยเพราะพี่ชายผลักเขาออกมาทันเวลาและเขาจำได้แม่น…แม้จะมีบาดแผลเต็มตัว แม้จะอาบไปด้วยเลือดและฝุ่น เขายังได้ยินพี่ชายพูดประโยคสุดท้าย
“ฝากของขวัญชิ้นนี้…ถานอิงแทนข้าด้วย”
วันนั้นเขาเป็นคนถือผ้าคลุมหนังเสือดำมาส่งให้ด้วยมือตัวเอง ผ้าคลุมที่เปื้อนเลือดแห้งสีคล้ำและกลิ่นเหงื่อของพี่ชายเขายังหลงเหลืออยู่ในผืนหนังนั้น
มันหนัก… หนักราวกับความสูญเสียทั้งชีวิตของเขาถูกอัดแน่นอยู่ในนั้น
ซูถานอิงสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวซีด นั่งอยู่เงียบ ๆ ใต้ศาลากลางสวนหลวง เสียงขลุ่ยของลมในพุ่มไผ่เบื้องหลังคล้ายเป็นเสียงคร่ำครวญของใครสักคนเขาก้าวเข้าไป วางผ้าคลุมไว้ตรงหน้านาง ไม่กล่าวแม้คำเดียวไม่แม้แต่จะเรียกชื่อ
นางเงยหน้าขึ้นแววตาของนาง…มันเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ลึก และจริงจนเขาชะงัก
นั่นไม่ใช่ดวงตาของคนไร้ใจไม่ใช่แววตาของหญิงที่ดีใจที่ได้ของขวัญแต่เป็นแววตาของผู้สูญเสีย…บางสิ่งที่ไม่อาจทวงคืน
“โจวอวี้หยางเขา…ยังจำได้” นางกระซิบเบา ริมฝีปากสั่นไหว “ข้าเคยพูดไว้…แค่ลอย ๆ ว่าอยากเห็นเสือดำตัวเป็น ๆ สักครั้งในชีวิต”
เสียงนางเบาราวกับจะหลุดลอยไปกับสายลม แต่ทุกคำกลับหนักหน่วงจนกระแทกใจ
เขายืนนิ่ง ใจเต้นแรงโดยไม่รู้สาเหตุ นางรู้ ว่าพี่ชายเขาลงลึกไปในป่าเพราะคำพูดของนาง ซูถานอิงเอื้อมมือไปแตะผ้าคลุมหนังเสือเบา ๆ นิ้วเรียวค่อย ๆ ลูบผ่านขนสีดำเงานั้นราวกับสัมผัสบางสิ่งที่ไม่อาจกลับมาได้อีก
จากนั้น…นางก็ยกผ้าคลุมนั้นขึ้นมากอดแนบอก
น้ำตาหยดหนึ่ง… สะอื้นเงียบ
แล้วหยดที่สอง…ที่สาม ไม่มีเสียงร่ำไห้ ไม่มีอาการฟูมฟายมีเพียงความเงียบที่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดลึกจนเขาหายใจไม่ออก
เขาควรจะรู้สึกสะใจควรจะดีใจที่เห็นน้ำตาของนางแต่กลับรู้สึกวูบวาบในอกอย่างประหลาด ความแค้นยังอยู่แต่เริ่มมีคำถามบางอย่าง…เกิดขึ้นในใจ
หลังจากวันนั้น แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสองเมืองจะยังเหนียวแน่นเช่นเดิม
แต่…ความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวกลับปริร้าวจนแทบสิ้น ภายนอก ทุกอย่างยังคงถูกประคองไว้ด้วยพิธีการและคำพูดสวยหรู
ราชสาส์นยังคงส่งถึงกันตามฤดูกาล ของขวัญจากเมืองเหยียนยังถูกห่อผ้าแพรส่งข้ามแดนมาถึงต้าหยางอย่างไม่ขาด และเมืองต้าหยางเอง ก็ยังคงยิ้มแย้ม ต้อนรับแขกเหยียนด้วยชาและดอกเหมย
ทว่า…ภายใต้รอยยิ้มเหล่านั้นคือดวงตาเย็นชาใต้คำสรรเสริญคือเสียงกระซิบที่เต็มไปด้วยความระแวง
บิดาของเขาไม่เคยเอ่ยถึงการตายของบุตรชายคนโตอีกเลย ไม่ถาม ไม่กล่าวโทษ และไม่เคยแม้แต่จะก้าวเข้าไปในเขตป่าแห่งนั้นอีก
แต่เขารู้ดี…
ในความเงียบนั้นมีไฟไฟแห่งความสงสัยและความคั่งแค้นที่ไม่อาจปะทุออกมาได้เพราะเมืองต้าหยางยังถือครองทรัพยากรที่เมืองเหยียนขาด
และเหยียนก็ยังต้องพึ่งเส้นทางการค้าในแดนใต้ของต้าหยางเพื่อความอยู่รอดของประชาชน พันธสัญญาที่เคยแน่นแฟ้น จึงกลายเป็นพันธนาการที่ไม่มีใครเต็มใจแบกรับ
ฝ่ายเขาเองก็เช่นกันจากเด็กชายผู้เคยยิ้มให้เจ้าสาวของพี่ชายในวันหมั้นหมาย กลับกลายเป็นบุรุษหนุ่มที่มองนางราวกับศัตรู
ทุกปีที่เห็นราชทูตต้าหยางมาถึงเหยียนเขาเลือกจะหลีกหน้าทุกข่าวคราวของนาง เขาเก็บไว้ในใจ เพื่อจดจำ…มิใช่เพราะรัก แต่เพราะแค้น
เพราะคนที่ควรแต่งกับนาง คือโจวอวี้หยางพี่ชายของเขาไม่ใช่เขา เพราะคนที่ควรมีความสุข คือผู้ที่ไม่มีวันได้กลับมาและเพราะนาง คือจุดเริ่มต้นของการสูญเสียทั้งหมด
