ตอนที่ 14 โชคชะตา
เป็นเช้าวันหยุดที่คนทั้งบ้านตื่นกันคนละเวลา รับประทานอาหารกันคนละรอบ วรันธรกับสามีตั้งใจเอาไว้ว่าจะออกไปหาอะไรกินกันข้างนอกเนื่องจากจะต้องขนของไปสนามบินเพราะสามีของนางมีสัมมนาฯ.ไกลถึงต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ จองไฟท์บินในรอบตี 5 นางจึงติดตามไปกับสามีแบบนี้เป็นประจำ ก่อนจะออกเดินทางก็ไม่ลืมหันกลับมากำชับลูกชายที่เดินมาส่งยังหน้าประตูบ้าน
"ยังไงแม่ก็ฝากดูแลน้องด้วยนะ อย่ารังแกน้อง พาน้องไปเที่ยว ไปช็อปปิ้งบ้างก็ดี...จริงสิ ตั้งแต่แต่งงานมาลูกกับหนูกชยังไม่มีโอกาสได้ไปฮันนีมูนกันเลย"
วรันธรยังเป็นกังวลต่อการใช้ชีวิตคู่ของเด็กทั้งสอง กชมลคงไม่มีปัญหาอะไรรายนั้นว่าง่าย และนิสัยดีขึ้น หากบุตรชายของนางนี่สิ ทั้งหัวแข็ง ดื้อรั้นเกินใคร
"ไร้สาระครับ แต่งงานแล้วก็จบ พอแค่นี้ดีแล้วครับ ทำไมต้องไปทำอะไรให้ยุ่งยาก ฮันนีมูนก็เปลืองเงินเปล่า ๆ" วศินบอกปัดอย่างรำคาญ ต้องเสียการเสียงานเพื่อไปฮันนีมูนที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรอย่างนั้นหรือ...ไม่มีทาง
"นี่! กลายเป็นคนขี้งกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ การเป็นสามีที่ดีมันต้องเริ่มจากการซัพพอร์ตภรรยาได้ ไม่ว่าจะทางคำพูด หรือการกระทำ" ผู้เป็นแม่ฟาดแขนลูกชายตัวดีพร้อมตำหนิเสียงจริงจัง
วศินยกมือลูบแขนตัวเองป้อย ๆ ทำหน้าตึงขึ้นทันใด
"ผมไม่ได้อยากเป็นสามีที่ดีของใครครับ..."
"จ้ะเอาเถอะ ถ้าวันหนึ่งมีคนมาปาดหน้าแย่งหนูกชไป ลูกอย่ามาโวยวายทีหลังนะ" นางขอเตือน ถึงคราวนั้นนางจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยอีกเลย ในเมื่อวันนี้ความหวังดีที่นางมีต่อบุตรชายมันดูไร้ค่าไร้ราคาไปเสียหมด
"ไม่หรอกผมไม่ใช่คนแบบนั้น และมั่นใจว่าคนนิสัยไม่ดีอย่างยายเด็กนั่นไม่มีใครเอาหรอกครับ ขนาดแต่งงานยังต้องบังคับเจ้าบ่าวเลยนี่!" วศินมั่นอกมั่นใจในตัวเอง เพราะคนอย่างกชมลไม่มีปัญหาทำให้เขาหลงรัก หรือรู้สึกดีสักเสี้ยวได้แน่
วรันธรมองหน้าสามีอย่างขอความช่วยเหลือ หากแต่ท่านคชาไม่วายหันหลังเดินขึ้นรถ คุณหญิงจึงรีบตามขึ้นไปนั่งข้าง ๆ กัน
"เฮ้อ วศินนะวศิน!"
"เดินทางปลอดภัยนะครับ"
"พ่อฝากดูแลทางนี้ด้วยนะ" คชาฝากฝั่งบุตรชาย ครั้นตนต้องไปทำงานไกลถึงต่างประเทศเป็นเวลาหลายวัน ภาระทางนี้ก็ไม่ใช่น้อย ๆ โชคดีที่ได้ลูกชายคนเก่งช่วยแบ่งเบา วศินได้รับตำแหน่งผู้บริหารตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความสามารถ และศักยภาพที่หลาย ๆ คนได้เห็นทำให้เขากลายเป็นที่ยอมรับอันรวดเร็ว
"ไม่ต้องห่วงครับผมจะจัดการทุกอย่างแทนพ่อเอง..."
"แม่ไม่ได้บอกหนูกชเลย ยังไงฝากบอกหนูกชด้วยนะ"
"ไม่จำเป็นต้องบอกหรอกครับ เผลอ ๆ เธอคงไม่ถามหาคุณแม่หรอก" คำพูดจากปากวศินช่างริดรอนความรู้สึกมารดา เสียจนหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากพูดอะไรกับเขาอีก
หลังจากรถลีมูซีนเคลื่อนตัวออกไปจากบ้านหลังใหญ่ มุมปากของชายหนุ่มที่ยืนมองรอคอยให้พ่อแม่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศสักทีก็ยกยิ้มแฝงเลศนัย ท่อนขายาวสืบเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ก่อนจะเปิดประตูห้องนอนเห็นร่างบางในสภาพเปลือยเปล่านอนคุดคู้ใต้ผ้าห่ม ตัวจับสั่นคล้ายหนาวเพราะเย็นจากเครื่องปรับเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
"โง่จริง หนาวจนจะตายยังไม่ยอมลุกมาปิด...ขี้เกียจสันหลังยาวจริง ๆ" ชายหนุ่มต่อว่าภรรยาสาว ไม่วายเป็นฝ่ายเดินไปปิดเครื่องปรับอากาศ ยืนเท้าเอวมองคนบนเตียงนิ่ง
"จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน ตื่นได้แล้ว"
"กชเพลียค่ะ กชอยากนอนต่อ กชขอนอนต่อก่อนนะ" หญิงสาวหรี่ตาขึ้นได้เล็กน้อยเพราะมันแทบจะปิดอีกครั้งแล้ว น้ำเสียงหวานแหบแห้งเอ่ยขอร้องขอความเห็นใจจากเขา หากแต่วศินไม่ใช่คนที่จะสงสารใครง่าย ๆ
"ฉันบอกให้ลุกก็ต้องลุกสิ!"
"กชลุกไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ" เธอบอกพลางส่ายหน้าน้อย ๆ ดวงหน้าขาวซีดน่ากลัวพยายามเงยขึ้นมองคู่สนทนา เรี่ยวแรงอ่อนล้า ซ้ำยังหายใจหอบเหนื่อยตลอดเวลา ทว่าทำไมคุณพระเอกถึงใจร้าย และเกลียดขังเธอขนาดนี้
ปาลินอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อน้อยใจ
"แค่นี้มันไม่ตายหรอกเลิกทำตัวอ่อนแอได้แล้ว ลุกขึ้นมา!"
