บท
ตั้งค่า

บทที่1. ฝันร้ายที่ทำให้ตายทั้งเป็น

“คราวนี้ถ้าจับอีเด็กสองคนนั่นได้ แม่ขายมันไปเลยนะ ฉันไม่อยากให้พวกมันมาลอยหน้าลอยตาในบ้านเราอีกแล้ว” ด้านสองแม่ลูกเดินตามเด็กทั้งสองจนมาสุดกำแพงบ้านและกำลังคิดว่าเด็กแฝดจะต้องมาที่นี่แน่ๆ

“นั่นล่ะคือสิ่งที่แม่คิดไว้ ไอ้ศักดิ์มันมองอีแพงตาเป็นมัน มันคงอยากจะได้นังเด็กนั่นมาก ไอ้นี่มันโรคจิตชอบเอาเด็ก หึหึ” นางจันพูดด้วยน้ำเสียงสะใจหยาบคาย

“ต๊าย จริงเหรอแม่ ดีจริงๆ อีแพงต้องตายคา... น้าศักดิ์แน่ๆ ฮ่าๆ ฉันล่ะอยากให้พวกมันตายทั้งเป็นนักถึงว่าสิน้าศักดิ์ชอบมาบ้านเราแล้วก็ชอบไปวอแวกับอีแพง มันเป็นแบบนี้นี่เองสะใจจริงๆ เลยหากมันโดนน้าศักดิ์... ฮิๆๆ” เด็กหญิงวัยเพียงสิบขวบเท่านั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะใจเต็มไปด้วยจริตมารยาเกินเด็กเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยจริตนั้นทำให้เจนจิราดูแก่เกินวัย ผู้เป็นแม่กลับยิ้มด้วยความชื่นชม

“ใช่แล้วลูก ความหายนะของพวกมันคือความสุขของเรา ฮ่าๆๆ” สองแม่ลูกหัวเราะด้วยความสะใจขณะยืนรอผู้เป็นสามีซึ่งสิ่งที่ทั้งสองคุยกันทำให้เด็กหญิงซึ่งหมอบหลบอยู่ภายใต้ต้นกกที่ขึ้นหนาทึบบริเวณชายคลองน้ำตาไหลด้วยความอดสูและเจ็บปวด โดยเฉพาะพิมพ์ภัสสรนั้นกัดกรามกรอดด้วยความเคียดแค้นชิงชังสองแม่ลูกยิ่งนัก

“แพงไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปนี้จะไม่มีใครทำร้ายแพงได้ พี่จะปกป้องแพงเอง เท่าชีวิต” เด็กหญิงกระซิบให้สัญญาต่อแฝดผู้น้องเสมือนว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่เสียนักหนาทั้งที่ความจริงพวกเธอเป็นเพียงเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเศษเท่านั้น

“พอพวกนั้นหันหลังเราจะคลานลงน้ำว่ายข้ามไปฝั่งโน้น” พิมพ์บงกชก็พยักหน้าอย่างเหนื่อยล้าใบหน้าขาวซีดริมฝีปากเขียวคล้ำสั่นระริกเพราะความหวาดกลัวแต่เต็มไปด้วยความหวังเรืองรอง...

“สองคนนั้นยืนตากแดดหรือตากฝนนานๆ ไม่ได้หรอก อดทนหน่อยนะถ้าเขาเห็นเราตอนนี้เราจะไม่มีทางรอดรอให้ฝนตกลงมาก่อนเถอะ”

“จ้ะ แพงจะอดทน” เหมือนสวรรค์ยังคงมีเมตตาอยู่บ้างเมื่อฝนเม็ดโตเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาสองแม่ลูกจึงวิ่งเข้าไปหลบฝนเด็กหญิงทั้งสองจึงฉวยโอกาสนั้นค่อยๆ ย่องเดินลงน้ำไปช้าๆ

น้องแพงเกาะบ่าของแฝดผู้พี่แน่นแล้วสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด ดวงตากลมโตที่ไร้แววสดใสมานานนับปีนั้นเรืองรองด้วยความหวังเมื่อร่างที่สูงใหญ่กว่าเล็กน้อยของพี่สาวค่อยๆ พาตนลงน้ำลึกลงเรื่อยๆ จากแค่เข่าถึงเอวจนลึกถึงลำคอ เด็กหญิงพิมพ์ภัสสรซึ่งเคยเรียนว่ายน้ำเมื่อสมัยที่บิดามารดายังอยู่แต่ก็ว่ายได้ไม่แข็งเท่าไหร่นัก แต่อาศัยว่าตนแอบมาเล่นน้ำคลองกับบุญยอดเพื่อนสนิทซึ่งเป็นเด็กริมคลองบ่อยๆ เธอจึงสามารถว่ายได้ดีขึ้นแต่ก็เก่งสู้บุญยอดไม่ได้ เด็กหญิงค่อยๆ แหวกว่ายไปอย่างเงอะงะพลางบอกให้น้องสาวช่วยตีขาในน้ำเพื่อช่วยส่งแรงแหวกว่าย

เม็ดฝนหนาขึ้นและลมเริ่มกรรโชกแรงทั้งสาบฟ้าก็ฟาดแปลบปลาบดังสะสนั่นไปทั้งโลก เงาร่างของเด็กหญิงที่ลอยอยู่กลางคลองน้ำสายเล็กนั้นปรากฏต่อสายตาของผู้ที่อยู่บนฝั่งซึ่งต่างมองเด็กทั้งสองด้วยความแปลกใจ บ้างก็นึกขัน บ้างก็นึกห่วงเพราะคลองสายนี้ก็ยังมีเรือยนต์สัญจรไปมาอยู่ บางคนก็นึกสมเพชเวทนา แต่บางคนเดือดดาลด้วยความชิงชัง

“แม่ ดูนั่น นังเพื่อนนังแพง...”

“ฮึ้ย อีพวกเด็กเหลือขอ ฉันจะทำยังไงกับพวกมันดีนะ” นางจันจวงพลุ่งพล่านด้วยความชิงชังและนึกอยากจะบีบคอเด็กทั้งสองให้ตายคามือเสียนัก

“แม่ หรือว่าเราจะจ้างเรือไปตามจับพวกมัน”

“เออนั่นสินะ แล้วพ่อแกล่ะ”

“ไม่รู้ บอกว่าจะตามมาแต่ยังไม่มา...”

“มาแล้วๆ ไหน อีเด็กสองคนนั่นไปไหน” นายพัฒน์วิ่งกระหืดกระหอบมากลางสายฝนกระหน่ำ สามคนพ่อแม่ลูกต่างยืนหันรีหันขวางหาทางไปจับตัวเด็กสองคนนั้นกลับมาลงโทษ

“ฉันว่าเราน่าจะจ้างเรือออกไปจับมันมานะพ่อ” เด็กหญิงเสนอความคิดอีกครั้ง

“แล้วมันจะทันเหรอพวกมันเกือบจะถึงฝั่งแล้ว”

“ถ้ามันขึ้นฝั่งได้ มันจะต้องไปที่ไหนนะ...” นางจันจวงครุ่นคิดแล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา

“เรากลับกันเถอะ ฉันรู้แล้วว่ามันจะไปไหนกัน...”

ทางด้านเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังว่ายน้ำข้ามไปยังอีกฝั่งนั้นลอยคออยู่กลางลำคลองซึ่งสายน้ำค่อนข้างเชี่ยวเนื่องจากเป็นหน้าฝนปริมาณน้ำในคลองก็ทั้งสกปรกและไหลแรงช่วงกลางลำคลอง แต่เด็กหญิงทั้งสองก็พยายามประคับประคองพวกตนให้ผ่านมันไปได้ ชายฝั่งอยู่แค่เอื้อมเทานั้นเอง...

“เพื่อน... แพงตีน้ำไม่ไหวแล้ว เพื่อนปล่อยแพงเถอะ”

“ไม่เอา แพงห้ามปล่อยมือจากเพื่อนนะ เราจะถึงฝั่งแล้ว อีกนิดเดียว” แฝดผู้พี่บอกด้วยแรงหอบโยน และกำลังจะหมดแรงดวงตากลมโตของเด็กหญิงเริ่มพร่ามัว แขนขาก็เริ่มไร้แรงที่จะจ้วงโจนน้ำต่อไป แต่เธอจะไม่ยอมแพ้

“โธ่ เพื่อน...”

“ถ้าแพงปล่อยมือจากเพื่อนไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เพื่อนจะไม่ให้อภัยแพงเลย” พิมพ์ภัสสรพูดราวผู้ใหญ่ น้ำเสียงของเธอหนักแน่นแม้อ่อนแรงก่อนที่เธอจะรู้สึกหนักอึ้งหูอื้อตาลายและขาเล็กๆ นั้นเริ่มจะตีน้ำไม่ไหวมันทั้งหนักอึ้ง ทั้งปวดแปลบราวใครเอาเข็มนับพันเล่มมาทิ่มแทงลงขาทั้งสองข้างของเธอ...

“เพื่อน เพื่อนเป็นอะไร เพื่อน ไม่นะกรี๊ดดด” ด็กหญิงตัวเล็กกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อพี่สาวของตนจมดิ่งลงไปในน้ำทำให้เธอต้องตะเกียกตะกายอย่างไร้ที่ยึดเหนี่ยวทั้งสำลักน้ำเข้าไปหลายอึก แขนเล็กๆ วาดตีน้ำอย่างตกใจจนน้ำแตกกระจายรอบกายเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวของเธอกลับไม่มีใครได้ยิน เด็กหญิงตาเหลือกลานเริ่มหายใจไม่ออก ความมืดค่อยๆ เข้าปกคลุมในหน่วยตาก่อนสติสุดท้ายจะดับวูบลงไปในความเย็นยะเยือกของสายน้ำ

พวกเธอไม่สามารถไปถึงฝั่งทั้งที่มันอยู่แค่เอื้อมหรือไร ไยสวรรค์ช่างโหดร้ายกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นพวกเธอเช่นนี้หนอ

18 ปีผ่านไป...

ร่างระหงปราดเปรียวในชุดเดรสสั้นรัดรูปสีส้มทองก้าวเดินฉับๆ เข้าไปยังสำนักงานเล็กๆ ทว่าสะอาดเอี่ยมแวดล้อมด้วยต้นไม้ดอกไม้บานสะพรั่งงดงามและยังเป็นสำนักงานต้นสังกัดของ พริตตี้ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยด้วย พิมพ์ภัสสร เร่งฝีเท้ายิ่งขึ้นเมื่อมองเวลาจากนาฬิกาเรือนเล็กบนข้อมือบางพบว่ามันเลยเวลานัดของตนมาร่วมชั่วโมงแล้ว

จากเด็กหญิงที่เกือบจะจมน้ำหายไปจากโลกนี้เมื่อสิบแปดปีก่อน บัดนี้เธอคือหญิงสาววัยยี่สิบห้าเจ้าของใบหน้าพริ้มเพราประกอบด้วยรูปหน้าเรียวไข่ประดับด้วยดวงตากลมโตสีน้ำตาลสกาวสุกใสพราวระยับเป็นประกายเหมือนเจ้าของดวงตากำลังเชื้อเชิญให้เข้ามาหา อย่างที่เรียวกว่าตาหวานเซ็กซี่ จมูกโด่งเรียวเล็กน่ารักโดยไม่ได้ผ่านมีดหมอและริมฝีปากอวบอิ่มเต็มตึงแดงระเรื่อด้วยวัยสาว เมื่อยามยิ้มแย้มจะเผยให้เห็นไรฟันขาวสะอาดราวไข่มุกและรอยยิ้มของเธอก็เป็นที่ประทับใจของผู้พบเห็นเสมอ แม้ว่าเธอจะอายุมากกว่าบรรดาพริตตี้ทุกคนในบริษัทแต่ความสวยความแซบเซ็กซี่ของเธอก็ทำให้พิมพ์ภัสสรยังเป็น พริตตี้ สวยเซ็กซี่ที่สุด มีงานอีเวนต์และมีผู้ต้องการจ้างเธอมากที่สุดในสังกัดของ เจ๊หวาน อดีตหนุ่มใหญ่ใจสาวซึ่งบัดนี้ก็เป็นหญิงทั้งร่างกายและจิตใจและตอนนี้กำลังยืนเท้าสะเอวจ้องลูกรักในสังกัดตาเขียวปัด...

“ต๊าย นี่กี่โมงแล้วยะน้องเพื่อนขา แม่หวานรอจนเหงือกแห้งจนจะกรอบแล้วค่ะ ตอนนี้ลูกค้าเราก็หงุดหงิดมาก” เจ๊หวานหวานแผดเสียงใส่คนที่เรียกได้ว่าเป็นลูกรักอย่างอารมณ์ร้อนจัด

“เพื่อนขอโทษค่ะแม่หวาน วันนี้เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะเลยมาสาย...”

“ไหนเป็นอะไร หล่อนก็ปกติดีนี่ยะ”

“รถเพื่อนถูกชนค่ะ ตอนนี้อยู่ที่อู่แต่เพื่อนไม่เป็นอะไรมาก แต่หากไม่คาดเข็มขัดนิรภัยอาจจะเป็นวิญญาณเพื่อนนะคะที่มายืนคุยกับแม่หวานอยู่ตอนนี้ แต่ก็ถูกกระจกบาดนิดหน่อยค่ะที่ต้นแขนนี่ไงคะ” พิมพ์ภัสสรหันข้างที่แขนถูกกระจกบาดเป็นรอยแดงมีเลือดซึมน้อยๆ ให้เจ๊หวานดูซึ่งเมื่อเจ๊หวานเห็นต้นแขนเรียวมีตำหนิก็หน้าซีดตกใจ

“ต๊าย ตายแล้ว ไปๆ ทำแผลก่อนเดี๋ยวเป็นแผลเป็นขายไม่ออกกันล่ะงานนี้ ว่าแต่ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ หึ” แล้วคำถามมากมายก็ตามมา แต่พิมพ์ภัสสรก็ได้แต่ยิ้มให้ผู้เป็นเสมือนมารดาคนที่สองของเธอด้วยความซาบซึ้ง เจ๊หวาน หรือที่เธอมักเรียกว่า แม่หวาน นั้นแม้เป็นคนปากร้ายและค่อนข้างออกตัวแรงในทุกเรื่องแต่ความจริงแล้วเจ๊หวานนั้นเป็นคนจิตใจดีมาก และแม่หวานคนนี้ก็ดีกับเธอมาตลอดยี่สิบปีที่เธออยู่กับเจ๊หวานมาในฐานะ ลูกบุญธรรม...

พิมพ์ภัสสรเดินตามเจ๊หวานไปโดยไม่อิดออดเพราะรู้ดีว่าตนเองนั้นมาสายกว่าเวลานัดเป็นชั่วโมงแต่แล้วร่างบางสมส่วนหยุดกึกแทบจะหัวคะมำเมื่อเจ๊หวานหยุดเดินกะทันหันโดยไม่บอกไม่กล่าว...

“มีอะไรคะแม่หวาน”

“ที่แม่หวานจะพูดนี่ แม่อยากให้เพื่อนคิดดีๆ และตัดสินใจเองในทุกๆ เรื่อง”

“เรื่องอะไรคะ...”

“ตอนนี้น้องแพงอาการไม่ดี หมอบอกว่าน้องแพงอาจจะอยู่กับเราได้อีกไม่นาน... แม่หวานกลัวว่าเพื่อนจะคิดสั้นๆ ยอมเป็นเมียเก็บไอ้เสี่ยนั่น” ใบหน้าที่มีรอยยิ้มยู่เสมอหมองลงไป

“ค่ะเพื่อนเข้าใจ เพื่อนจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาแพงค่ะ แต่ไม่ยอมเป็นเมียน้อยหรือเด็กเสี่ยคนไหนแน่นอน” พิมพ์ภัสสรกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นเมื่อนึกถึงน้องสาวฝาแฝดที่กำลังป่วยหนักอยู่ตอนนี้ น้องแพง น้องสาวฝาแฝดผู้อาภัพไม่แตกต่างจากเธอ เพียงแต่เธอโชคดีกว่านิดเดียวที่รอดพ้นเหตุร้ายๆ นั้นมาได้อย่างเฉียดฉิวเท่านั้นเอง พิมพ์ภัสสรสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเดินต่อไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคง

ร่างสูงสง่าในชุดนักแข่งรถสีดำคาดเทาก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องโถงของคฤหาสน์หลังงามของตนอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่วันนี้เขาไม่อาจจะลงแข่งขันได้เพราะมารดากับน้องสาวตัวดีเข้าไปขัดขวางและอาละวาดจนงานแข่งขันรถยนต์สนามล่าสุดที่เขากับเพื่อนสนิทจัดขึ้นล้มไม่เป็นท่า

“นี่ตาธาม หยุดนะอย่าเดินหนีแม่แบบนี้ ธามแม่บอกให้หยุด...” คุณธิติมา ร้องเรียกบุตรชายคนโตอย่างฉุนเฉียว ร่างอวบอิ่มในวัยห้าสิบปลายเดินมาขวางหน้าร่างสูงใหญ่ของ ธาม สุวลักษณ์ ธอมป์สันชายหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดปีเลือดผสมไทย จีน อังกฤษ ไว้ก่อนที่เขาจะเดินหนีหน้าไป ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วหันมามองมารดาด้วยแววตาเรียบเฉย

ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้ายาวได้เหลี่ยมได้รูปนั้นคมเข้มประกอบด้วยดวงตาใหญ่สีดำสนิทแววหวานชวนฝันภายใต้คิ้วยาวหนา จมูกโด่งเป็นสันตรงรับกับริมฝีปากหยักสวยสีชมพูเข้ม กรามแกร่งมีไรเคราเขียวครึ้มเสริมให้ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาตรึงใจ ยิ่งยามที่เขายิ้มให้สาวๆ ดวงตาคมจะพราวด้วยประกายฉ่ำหวานจนคนมองแทบละลายไปกับแววตาของเขาเลยทีเดียว ฟันขาวสะอาดเรียงตัวสวยส่งให้เขาดูน่าหลงใหลมากขึ้นซึ่งมันทำให้สาวน้อยสาวใหญ่พร้อมจะทอดกายให้เขาเชยชมและขอให้ได้เป็นคู่ควงของเขาสักวันหรือสักคืนพวกเธอก็แสนจะยินดี เพราะมันจะทำให้พวกเธอเป็นที่สนใจของบรรดาเหยี่ยวข่าวและอาจจะเป็นบันได้ไปสู่การเป็นนักแสดงหากมีคนสนใจพวกเจ้าหล่อนเยอะๆ แต่ที่สำคัญ ธามจ่ายงามมากเมื่อพวกเธอพ้นจากเตียงของเขา แต่ทว่าตอนนี้ดวงตาพราวหวานของธามไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย

“คุณแม่ต้องการอะไรอีกครับ...”

“แม่แค่ต้องการให้ลูกเลิกแข่งรถบ้าๆ นั่นไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์...”

“แค่นั้นใช่มั้ยครับ”

“ใช่แค่นี้แหละค่ะที่คุณแม่กับแทมมี่ที่ต้องการ” แทมมี่ หรือ แทนฤทัย พูดแทนมารดา ใบหน้าสวยจัดคมเข้มแบบฉบับลูกครึ่งละม้ายพี่ชายบึ้งตึงด้วยลักษณะของคนเอาแต่ใจไม่ยอมคน ร่างบางยืนหลังตรงหน้าเชิดด้วยความเคยชิน

“แค่นั้นเหรอแทมมี่แค่นั้นเหรอครับคุณแม่ แต่คุณแม่กลับทำให้ทุกอย่างของผมพังไม่เป็นท่า” ธามเสียงดังเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว ใบหน้าหล่อเหลาไร้รอยยิ้มเล่นหัว ดวงตาไม่มีแววอ่อนโยนริมฝีปากที่มักมีรอยยิ้มแสนสำราญอยู่เนืองนิตย์เม้มสนิท

“ธาม แม่...”

“ผมขอตัวนะครับ ผมเหนื่อยมาก” ตัดบทแล้วเดินขึ้นห้องไปอย่างไม่สนใจมารดาที่หน้าเจื่อนจืดไป

“พี่ชายเราโกรธแม่แล้วเห็นมั้ยแทมมี่” คุณธิติมาร้อนใจเพราะไม่เคยเห็นบุตรชายมีอาการโกรธจัดขนาดนี้มาก่อน

“โธ่คุณแม่ขา พี่ธามน่ะโกรธง่ายหายเร็วจะตาย เดี๋ยวเดียวก็หายโกรธค่ะ เราทำถูกแล้วนะคะ หากพี่ธามยังคงลงแข่งรถแบบเสี่ยงๆ อย่างนี้พี่ธามอาจจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้นะคะ แทมมี่รู้ดีค่ะว่าฝ่ายคู่แข่งธามเล่นไม่ซื่อแน่นอน” แทนฤทัยปลอบมารดาให้เหตุผลซึ่งทำให้มารดายอมรับได้ หญิงสาวยิ้มแล้วตบหลังมือมารดาเบาๆ

แทนฤทัยถอนใจแล้วนึกถึงผู้ชายคนนั้น คนอย่าง ราฟาเอล ฟร้องซ์ ชายหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดปีชาวฝรั่งเศสคนนั้น ที่เป็นคู่ปรับพี่ชายของตนมาตลอดและเธอก็เห็นฤทธิ์ของราฟาเอลว่าแค่ไหน ผู้ชายคนนั้นที่เธอตั้งฉายาให้เขาว่า ซาตานหน้าหยก เขาเป็นคนที่น่ากลัวเกินไปและเธอก็กลัวว่าพี่ชายของเธอจะเสียทีเขา ซึ่งเธอก็ไม่อาจจะทนได้หากพี่ชายของตนจะแพ้ราฟาเอล...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel