ตอนที่5.อย่าให้พี่ต้องพูด
“แล้วนี่พ่อสินธุ์ล่ะ กลับมาแล้วไม่ใช่รึ ไม่มากินข้าวกินปลาพร้อมหน้าพร้อมตากันบ้างหรือไร” หลวงพิชัยพูดขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้
“มาแล้วขอรับ” เสียงดังขึ้นจากด้านหลังก่อนที่เจ้าของร่างกำยำจะเดินเข้ามานั่งรวมวงรับประทานอาหารเย็น “ฉันซ้อมดาบกับทิดจ้อยเหงื่อท่วมตัวเลยไปอาบน้ำก่อนมาที่นี่ก็เลยมาช้าไปสักหน่อย”
สายตาคมปลาบจับจ้องมายังย่าหยา หญิงสาวหดคอด้วยความเคยชิน แต่นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนใจร้ายที่แกล้งเธอ จึงฝืนทำใจกล้ายืดแผ่นหลังตั้งตรงแล้วเชิดปลายคางขึ้น ชายหนุ่มมองแล้วกลั้นยิ้มขำ นึกถึงตอนที่หญิงสาวกลัวจนตัวสั่นแต่พยายามดิ้นรนสุดชีวิต ตอนนี้ก็ยังทำตัวเหมือนแมวน้อยขู่ฟ่อๆ ทั้งที่กลัวเขาอย่างเห็นได้ชัด
“กลับมาคราวนี้จะอยู่กี่วันรึ” หลวงพิชัยถาม
“อ้าว! ฉันเพิ่งกลับมาแท้ๆ เหตุใดพี่ถามเหมือนไม่อยากเห็นหน้าฉัน”
“อย่าให้พี่ต้องพูด” หลวงพิชัยส่ายหน้าระอาใจ “ผู้อื่นเป็นมหาดเล็กบรรดาศักดิ์อยู่วังรับใช้พระองค์ท่าน แต่น้องชายฉันกลับตะลอนๆ อยู่นอกเมือง”
“ฉันก็ทำงานแบบของฉันนั้นแหละ” เขายิ้มแล้วมองอาหารตรงหน้า “อาหารมื้อนี้น่ากินเสียจริง”
“พ่อสินธุ์ก็กินให้เยอะๆหน่อย นานๆ จะอยู่บ้านเสียที”
“รสมือพี่สะใภ้ หาที่ไหนเทียบไม่ได้แล้วขอรับ”
สินธุ์พูดแล้วปรายตามองทางย่าหยา หญิงสาวดูเงอะงะกับการกินอาหารโดยมียี่สุ่นคอยดูแลราวกับเป็นเด็กเล็กๆ เขาได้ยินเรื่องเมียใหม่ของพี่ชายมาบ้างและรู้ว่ารับน้องสาวมาอยู่ด้วย แรกทีเดียวเขาก็คิดว่ายี่สุ่นจะยกน้องสาวตัวเองให้เป็นเมียพี่ชายเขาอีกคน แต่เห็นท่าทางเช่นนี้แล้วคงเป็นเขาที่คิดมากไปคนเดียว อายุก็ไม่น้อยแล้วแค่กินข้าวพี่สาวยังแทบจะป้อนให้ ไม่รู้จะสงสารใครดี
ย่าหยาไม่เคยใช้มือกินข้าวอย่างนี้ เธอจับข้าวเป็นคำก็ร่วงก่อนจะเข้าปาก แต่ยี่สุ่นที่นั่งข้างๆ คอยดูแลตลอดราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ หญิงสาวพยายามเรียนรู้เพื่อไม่เป็นภาระให้ใคร ไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่ไปนานแค่ไหนแต่เธอก็จะพยายามใช้ชีวิตต่อไป เพราะสนใจแค่การกินอาหารของตัวเอง ย่าหยาจึงไม่เหลือสายตาไว้มองผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม
หลังกินอาหารเสร็จ นางแจ่มบ่าวคนสนิทและเป็นพี่เลี้ยงย่าหยามารับหญิงสาวไปพักผ่อน
“วันนี้คุณไม่ค่อยสบายอย่าอาบน้ำเลยนะเจ้าคะ แจ่มเตรียมน้ำอุ่นให้เช็ดตัวแล้วเจ้าค่ะ”
‘แต่ฉันอยากอาบน้ำนี่’ เธอพยายามจะพูดออกไปแต่เสียงก็แหบแห้งจนอีกฝ่ายไม่ได้ยิน ย่าหยายกมือขึ้นแตะลำคอของตนเอง ที่พูดไม่ได้เพราะความกลัวสินะ เธอต้องพยายามหัดส่งเสียงออกไปให้ได้ เธอไม่ได้เป็นใบ้ยังไงต้องพูดได้สิ!
แจ่มยกอ่างไม้ใส่น้ำอุ่นเข้ามาวางบนโต๊ะเสร็จแล้วก็ยื่นมือไปหมายจะช่วยผลัดผ้า แต่หญิงสาวส่ายหน้าไปมารัวๆ
“ทะ...ทำ...ทำ...เอง..ดะ...ได้”
“เอ๊ะ! นั้นย่าหยาพูดรึ” ยี่สุ่นที่ก้าวเข้ามาในห้องได้ยินพอดี ใบหน้าแย้มยิ้มดีใจแล้วยื่นมือไปจับแขนน้องสาว “ไหน...พูดอีกสิ”
ย่าหยาขยับปากแต่เสียงแผ่วเบา เธอพยายามพูดแต่แทบไม่ได้ยินเสียง ยี่สุ่นโอบน้องสาวแล้วลูบศีรษะเบาๆ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบค่อยเป็นค่อยไป”
“ดีจริงในที่สุดคุณย่าหยาก็พูดได้แล้ว” แจ่มถึงกับน้ำตารื้น “แจ่มไม่ได้ยินเอง คราวหน้าคุณย่าหยาพูดข้างหูแจ่มนะเจ้าค่ะ”
หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ แล้วยื่นมือดันให้ทั้งสองทำท่าบอกให้ออกไป
“คุณย่าหยาอยากเช็ดตัวเองเจ้าค่ะ” แจ่มพูดปนยิ้มรายงานให้ยี่สุ่นฟัง
“โตเป็นสาวแล้วก็คงอยากทำอะไรเอง เอาเถิด เราคอยๆ ดูแลแกไปนะพี่แจ่ม”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว ย่าหยาจึงเช็ดเนื้อตัวแล้วสวมเสื้อคอกระเช้า จำได้ว่าสมัยรัชกาลที่5รับวัฒนธรรมการแต่งกายมาจากยุโรป จริงสิ เธอยังไม่ได้หาถามเลยว่าปีนี่พ.ศ.อะไร รัชกาลที่เท่าไหร่ มือเรียวหยิบแปรงขึ้นมาหวีผมยาวสลวย หลวงพิชัยกับอีตาสินธุ์อะไรนั้นตัดผมรองทรง แต่คุณช้อยกับพี่สาวของเธอทำผมทรงหมาดไทย เท่าที่เธอเคยอ่านนิยายแนวย้อนยุคและลองสืบค้นข้อมูล เดาๆ ได้ว่าน่าจะรัชกาลที่ 5 นี่เธอย้อนเวลามาไกลถึงขนาดนี้เลยหรือ
หญิงสาวจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจว่าจะออกมานั่งเล่นที่ชานเรือน เธอไม่เคยนอนแต่หัวค่ำ ปกติเธอนอนหลังเที่ยงคืนเพราะชอบเขียนนิยายดึกๆ แต่เมื่อออกก็พบหลวงพิชัยเดินขึ้นเรือนมาพอดี สายตาของเขาจ้องมองอย่างเปิดเผย แม้มุมปากจะยกยิ้มแต่ดวงตาคู่นั้นมองเธอเหมือนขนมในจานที่รอกินเป็นของว่าง
