ตอนที่3 ท่านประธาน
“เก่งนี่ รู้ด้วยว่ามีคนมองอยู่” เสียงจากลำโพงที่อยู่มุมห้องด้านบนดังขึ้น “ผมชื่อปฐวี สิรากรเป็นประธานของสิรากรกรุ๊ป ผมขอชื่นชมในไหวพริบของพวกคุณแม่ลูก เอาล่ะ เรามาเริ่มสัมภาษณ์กัน กฎมีอยู่1ข้อที่ต้องปฏิบัติ นั่นก็คือจนกว่าการสัมภาษณ์จะจบห้ามลูกสาวของคุณเอ่ยปากพูดแม้แต่คำเดียว”
“เป็นไปตามนั้นค่ะ” สองแม่ลูกตอบพร้อมกันก่อนที่หนูน้อยจะทำท่าทางรูดซิปปากและนั่งเงียบ ๆ
“งั้นเรามาเริ่มกันเลยคุณรัมภาภัสร์” เสียงของปฐวีผู้เป็นประธานบริษัทบอกมาก่อนจะเริ่มการสัมภาษณ์ บทสัมภาษณ์ของปฐวีเป็นเรื่องเกี่ยวกับทัศนคติเป็นส่วนใหญ่ รัมภาภัสร์ตอบไปตามความจริงถึงเรื่องทัศนคติและวิธีคิดของเธอจนมาถึงคำถามสุดท้ายที่ปฐวีถามมาว่าทำไมเธอถึงอยากทำงานและถ้าได้งานคิดว่าจะทำงานที่นี่ได้นานแค่ไหน
“ดิฉันไม่ใช่คนตอแหล ขอบอกตามตรงว่าที่ดิฉันมาสมัครงานที่นี่ก็เพราะเป็นจังหวะที่ลูกสาวงอนพ่อของแกเราจึงพากันขึ้นมากรุงเทพเพื่อที่จะประชดพ่อของแก ในช่วงเวลานี้ดิฉันอยากจะทำงานในสายอาชีพที่เรียนมาสักครั้งก่อนที่พ่อลูกเขาจะดีกัน ส่วนเรื่องระยะเวลา ดิฉันมั่นใจว่าเกิน3เดือน” รัมภาภัสร์ตอบไปตามความจริง
“สามีคุณทำงานอะไร ทำไมพูดเหมือนมั่นใจว่าอีก3เดือนพ่อกับลูกเขาจะยังไม่คืนดีกัน” ปฐวีถามอย่างประหลาดใจ น้ำเสียงของเขาดูทึ่งในคำตอบที่ตรงไปตรงมาของหญิงสาวไม่น้อย
“เขาเป็นทหารเรือค่ะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่คาบสมุทรอะไรด้วยซ้ำ”
“โอเค ที่ผ่านมาไม่มีใครตอบผมได้ตรงแบบคุณและตรงใจผมเลย แต่คุณทำได้ ผมรับคุณเข้าทำงาน แต่...” ปฐวีบอกและเว้นคำพูดไว้ที่แต่ก่อนจะพูดต่อ “เดือนแรกเป็นการทดลองงาน ผมไม่จ่ายเงินเดือน ผมจะจ่ายเมื่อคุณทำงานครบ2เดือนโอเคไหม?”
“โอเคค่ะ”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นคุณสะดวกเริ่มงานวันไหน?” ปฐวีถาม คำตอบของรัมภาภัสร์เป็นคำตอบที่เขาอยากได้ฟังจากคนที่เขาจะรับเข้าทำงานเขาจึงไม่ลังเลที่จะรับเธอเข้าทำงาน แม้จะรู้ว่าอีก3เดือนข้างหน้าเธออาจจะต้องลาออกก็ตาม ในเมื่อเขายินดีจะรับเธอคนนี้เข้าทำงานเขาก็เตรียมการไว้สำหรับวันนั้นแล้วว่าจะยื่นข้อเสนอใดให้เธอไม่ลาออกและเป็นข้อเสนอที่ไม่สร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวของหญิงสาว
“วันนี้เลยก็ได้ค่ะ” คนอยากทำงานเอ่ยบอก “เวลาไม่คอยท่า ยิ่งเริ่มทำเร็วเท่าไหร่ ยิ่งคุ้มค่าสำหรับดิฉันค่ะ”
“โอเค งั้นผมจะให้คุณเมย์พาคุณและลูกสาวมาหาผมที่นี่ แล้วผมจะแนะนำให้รู้จักกับหัวหน้าทีมมัณฑนากรที่ปากจัดที่สุดใน3โลก แต่ก็ทำงานดีที่สุดของบริษัท คุณจะได้ทำงานกับเธอ”
“รับทราบค่ะ ท่านประธาน” พูดจบสองแม่ลูกก็แตะมือกันก่อนที่เมลาณีจะเข้ามาและนำไปยังห้องของท่านประธาน
“แม่รุ้ง ๆ เมื่อคืนหนูเล็กเห็นรูปเขาในห้องครีมจ๋า” ทันทีที่ได้เห็นโฉมหน้าของปฐวีหนูน้อยก็กระซิบบอกคนเป็นแม่ทันที “แต่เป็นรูปตอนหนุ่มกว่านี้ ในรูปใส่ชุดนักเรียน”
“พี่ พี่ปรัช นี่ พี่ปรัช พี่ปรัชใช่ไหมคะ?” ทางด้านคนเป็นแม่นั้นทันทีที่ได้มองหน้าเจ้านายคนใหม่และคนแรกในการทำงานเอ่ยอย่างดีใจในขณะที่ปฐวี หรือ ปรัชได้แต่ประหลาดใจ
“รู้จักชื่อเล่นผมด้วย เอ๊ะ เดี๋ยวนะ นามสกุลอารีราชนาวินทร์ นี่มันนามสกุลเพื่อนผมนิ คุณเป็นอะไรกับเพื่อนผม?”
“สีรุ้งไงคะ น้องสาวพี่ครีมไง” เธอแนะนำตัว ที่แท้แล้วปฐวีคนนี้คือเพื่อนรุ่นเดียวกับพี่สาวของเธอ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่ปรับตลอดกาลของคนเป็นพี่เลยก็ว่าได้ และที่สำคัญสมัยเรียนรติภัทรมักจะปล่อยข่าวลือว่าปฐวีเป็นเกย์ที่ชอบตามเทียวไล้เทียวขื่อราชนาวีไปทั่วโรงเรียน และยังเป่าหูเธอกับน้อง ๆ ให้เชื่ออีกด้วย
‘หนูเล็กคงตกใจแย่เลยถ้ารู้ว่าพี่ปรัชเป็นคู่จิ้นของพ่อ ไม่พูดมากดีกว่า’ สาวเจ้าคิดในใจ
“น้องสีรุ้ง น้องสาวยัยสีครีม เห้ย จริงดิ พี่นึกว่าโตมาจะหน้าเหมือนยัยสีครีมเสียอีก” ปฐวีเหมือนจะระลึกได้จึงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
“พ่อครามบอกว่ารุ้งหน้าค่อนไปทางแม่เพียงน่ะค่ะ ส่วนพี่ครีมเหมือนพ่อคราม”
“เห้ย พี่ไม่ได้เจอเรานานมากอะ ตั้งแต่พี่จบม.ปลายแล้วไปเรียนต่อที่เมกา ไม่รู้เลยนะเนี่ย ว่าเรามีลูกโตขนานี้แล้ว แซงหน้ากันนี่น๊า” สมัยก่อนเพราะต้องการยั่วโมโหรติภัทรชายหนุ่มจึงเข้ามาตีสนิทกับรัมภาภัสร์ ทั้งคู่จึงสนิทกันและสร้างความเข้าใจผิดให้รติภัทรอยู่ช่วงหนึ่งว่าชายหนุ่มเข้ามาจีบน้องสาวและน้องสาวก็ตกลงเป็นแฟนกับอีกฝ่ายจนตามหวงน้องสาวไปเสียทุกที่ แต่สุดท้ายแล้วรติภัทรผู้หวงน้องก็ต้องหน้าแตกเมื่อรู้ความจริงว่าแค่สนิทกันแบบพี่น้องเท่านั้น
“เอ๊ะ ไม่ถูก เราเป็นน้องยัยสีครีม แล้วก็ไม่ได้ใช้นามสกุลแม่ทั้งคู่ เราก็ต้องใช้อัศวโยธินสิ ทำไมใช้นามสกุลไอ้รักได้ล่ะ?” เพราะห่างหายจากบ้านเกิดมามากว่า10ปีปฐวีจึงไม่รู้อะไรมากนัก และไม่ค่อยว่างไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นจึงไม่รู้ข่าวคราวของใคร แค่เพื่อนในรุ่นคนไหนแต่งงานแล้วเขายังไม่รู้ แล้วประสาอะไรกับน้องสาวคู่ปรับ และเพื่อนสนิทที่แยกไปเรียนนายเรือและห่างหายกันไปนานอย่างราชนาวีที่เขาจะไปรู้
“นี่ลูกสาว แสดงว่าเราแต่งงานแล้ว แล้วเราก็ใช้นามสกุลอารีราชนาวินทร์ นี่เราไปเกี่ยวดองอะไรกับบ้านไอ้รัก?”
“เพื่อนพี่ปรัชเป็นพ่อของหนูเล็กค่ะ ดีเอ็นเออยู่บนหน้านั่นน่ะมองดูสิ” รัมภาภัสร์บอกพร้อมกับให้หันดูหน้าหนูน้อยรัมภาวีร์ที่โขลกสำเนาผู้เป็นพ่อมาถูกต้องทั้งที่เธอเป็นคนอุ้มท้องและคลอดออกมา
“เห้ย จริงดิ” ไม่ใช่เรื่องของเด็กหญิงรัมภาวีร์เท่านั้นที่ทำให้ชายหนุ่มอึ้ง เขายังตกตะลึงที่รัมภาภัสร์ไปตกร่องปล่องชิ้นกับราชนาวีที่ยิ่งกว่าคู่กัดได้ หรือที่เขาบอกว่าเกลียดอะไรมักได้อย่างนั้นจะเป็นจริง จริงไม่จริงไม่รู้ รู้แค่ว่านอกจากทั้งคู่จะตกร่องปล่องชิ้นกันแล้วยังมีโซ่ทองคล้องใจที่สำเนาใบหน้าได้พ่อมาเต็มร้อยอีกด้วย
“เรื่องมันยาวค่ะ เอาเป็นว่า รู้แค่ว่าหนูเล็กเนี่ย ลูกเขาก็พอ ส่วนเรื่องรุ้งกับเขาไม่ต้องถาม เคยเป็นอย่างไรตอนนี้ก็เหมือนเดิม เพียงแต่เพลาลงมานิดหน่อยก็เท่านั้น” หญิงสาวบอกก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กลับมาที่เรื่องงาน ให้รุ้งทำงานกับพี่ครีมได้ไหมอะ”
“เอ่อ พี่ก็จะให้เราทำงานกับยัยนั่นแต่แรกแล้วล่ะ ยัยนั่นยังปากร้ายคงเส้นคงวาแต่ก็ทำงานเก่งคนที่ได้ทำงานกับยัยนั่นถือเป็นระดับมือดีของบริษัทเลยล่ะ” ปฐวีบอกพร้อมกับลำดับเรื่องราวภายในใจ รัมภาภัสร์บอกว่าลูกสาวงอนพ่อและพ่อเป็นทหารเรือ ซึ่งพ่อของหนูน้อยก็คือราชนาวี หมายความว่าหนูน้อยกำลังงอนราชนาวีและตกลงกับแม่หนีออกจากบ้านประชดราชนาวีอย่างนั้นใช่ไหม?
แล้วราชนาวีจะไม่เอาเรื่องเขาใช่ไหม ที่รับรัมภาภัสร์เข้าทำงาน?
“ว้าว ดีเลย จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำเลย นี่รัมภาวีร์ค่ะ เรียกแกว่าหนูเล็กก็แล้วกัน ตอนนี้อายุ5ขวบแต่สมองราวกับ22 แก่แดดอย่าบอกใครเชียว หนูเล็กคะ ไหว้ลุงปรัชสิคะ ลุงปรัชเป็นเพื่อนครีมจ๋าแล้วก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อรัก” หญิงสาวแนะนำหลังจากที่พูดคุยกับพี่คนสนิทจนปล่อยให้ลูกสาวงงอยู่นาน นอกจากจะเป็นเพื่อนแล้วราชนาวีกับปฐวียังมีสถานะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วย
“สวัสดีค่ะลุงปรัช”
“ไม่เรียกลุงปรัชสิ ทียัยครีมยังเรียกครีมจ๋าเลย เรียกว่าปรัชจ๋า โอเคไหม?” ชายหนุ่มต่อรอง “เดี๋ยวเลี้ยงไอติม”
“ตามนั้นค่ะปรัชจ๋า”
“เอาของกินมาล่อล่ะยอมตลอดเลยนะแม่คนตะกละ” คนเป็นแม่ว่าให้อย่างเอ็นดู ปฐวีเองก็ยิ้มเอ็นดูหลงรักหนูน้อยเข้าเต็มเปา หนูน้อยรัมภาวีร์น่ารักและฉลาดหลักแหลมเสียจนเขานึกเสียวสันหลัง น่ารักขนาดนี้พ่อคงหวงน่าดู มีแววว่าขึ้นฝั่งเมื่อไหร่ต้องรีบมาเอากลับแล้วเก็บไว้อย่างมิดชิดเป็นแน่
