บทที่ 19 น้ำปั้นเป็นตัว
กิตตถอยรถมาจอดหน้ารถวนัชแล้วเปิดประตูก้าวลงมายืนรอเพื่อนอยู่ข้างรถ นิสาลักษณ์เดินมาหยุดตรงหน้าเขา วนัชก้าวเข้ามายืนข้างหล่อน
“แกเป็นบ้าอะไร เบรกจนรถหมุน นี่ถ้ามีรถตามมาหรือสวนมาจะทำยังไง คิดมั้ย คิดมั้ยว่ามันจะแหลกทั้งคนทั้งรถน่ะ” นิสาลักษณ์เท้าเอวจ้องหน้าเพื่อนด้วยความโกรธ
“ไม่ทันคิดอะไรทั้งนั้นแหละ ไปบ้านแกก่อนค่อยคุย ฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้”
กิตติเปิดประตูรถก้าวเข้าไปนั่ง นิสาลักษณ์ดึงประตูรถไว้ก่อนที่เขาจะปิด
“เฮ้ย เป็นอะไรวะ”
“เออน่ะ ไปบ้านแกก่อน ไอ้นัช อย่าเพิ่งไปบ้านแม่เลี้ยงเลยว่ะฉันขอพักหน่อย” เขาไม่ตอบเพื่อนสาวแต่ขอไปพักที่บ้านหล่อนแทนคำตอบ
วนัชพยักหน้ารับคำเพื่อนอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนทำ เขาเชื่อว่าเพื่อนต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนี้และคำว่าฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้ทำให้เขาต้องเหลียวไปมองน้ำริมถนน เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองกิตติหรือว่า..
“ไอ้ติ อะไรวะนึกจะไปก็ไป ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกเพื่อนเลยว่าเป็นห่วงมันแค่ไหน ไอ้บ้านี่ถึงบ้านฉันจะบิดหูให้ขาดเลย” นิสาลักษณ์โวยวายเมื่อกิตติออกรถไปก่อนโดยไม่รอใคร
“ถึงบ้านค่อยคุย รีบตามมันไปเถอะ” วนัชพูดกับหล่อนแล้วเดินไปที่รถตัวเอง เขาอดเหลียวไปมองน้ำไม่ได้
นิสาลักษณ์วิ่งไปที่รถของหล่อนเช่นกัน หล่อนไม่อยากอยู่บริเวณนี้โดยเฉพาะใกล้กับน้ำข้างถนน ภาพเหตุการณ์ร้ายเมื่อคืนยังทำให้หล่อนหวาดหวั่นถึงขณะนี้จะไม่ใช่ค่ำมืดดึกดื่นหล่อนก็กลัว
กิตติเดินตามนิสาลักษณ์เข้ามาในบ้านเงียบๆ อารมณ์ร่าเริงเหมือนทุกครั้งไม่มีให้เห็น เขานั่งลงบนเก้าอี้รับแขก วนัชนั่งข้างกัน นิสาลักษณ์เดินเลยเข้าครัวครู่เดียวก็กลับออกมาพร้อมขวดน้ำเปล่าและแก้วน้ำสำหรับเพื่อน
“กินน้ำเย็นๆ ก่อนแล้วค่อยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นแกถึงเบรกรถซะขนาดนั้น ดีนะไม่พุ่งลงข้างถนน”
“ข้างถนน” กิตติทวนคำแล้วจ้องหน้าเพื่อนสาว หล่อนเลิกคิ้ว
“เออ ทำไม”
“แกเห็นอะไรติ” วนัชเอ่ยขึ้น เขามั่นใจว่ากิตติต้องเห็นบางสิ่งบางอย่างข้างถนน
“ฉัน..” ชายหนุ่มหันมามองคนถาม พูดไม่ออก จะบอกเพื่อนอย่างไรเพื่อนจึงจะเชื่อสิ่งที่เขาเห็น
ขณะเขาเร่งความเร็ว เขาเห็นกอต้นธูปฤๅษีไหวยวบ เขาหันไปมองและก็ต้องตกใจเมื่อสิ่งที่ทำให้ต้นธูปฤๅษีเอนเกือบล้มนั้นเป็นสายน้ำใสพุ่งขึ้น ชั่วพริบตาสายน้ำแปรสภาพเป็นรูปร่างคน ร่างนั้นยกมือขึ้นชี้มาที่เขา เขาร้องสุดเสียงแตะเบรกโดยอัตโนมัติ รถหมุนคว้างและหยุดขวางถนน นาทีนั้นหัวใจของเขาแทบหยุดเต้น
“ฉันอะไรล่ะ เล่ามาสิ” นิสาลักษณ์ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ จ้องหน้าเพื่อนอย่างรำคาญ
“ฉันเห็นน้ำพุ่งขึ้นมาจากข้างทางแล้ว..แล้วก็..” เขาหลับตาสั่นศีรษะแรงๆ พยายามข่มความกลัว
วนัชนั่งตัวตรงทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าของเพื่อน นิสาลักษณ์ดีดตัวจากพนักพิง ใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันทีทันใด
“แล้วอะไร แกเห็นอะไรติ” วนัชถามเพื่อนพร้อมกับจ้องหน้ารอคำตอบด้วยหัวใจเต้นรัว
“ฉัน..เห็นเป็นตัวคน โบกมือให้ฉัน มัน..มันเกิดเรื่องบ้าอะไรวะนัช ลักษณ์ ตาฉันต้องฝาดแน่เลย ฉันเห็นน้ำปั้นตัวเองเป็นคนได้ไงวะ มันต้องบ้าแน่ๆ ฉันบ้าแน่ว่ะ”
กิตติจ้องหน้าวนัชแล้วหันมาที่นิสาลักษณ์ วนัชถอนใจเฮือก เขามองนิสาลักษณ์กับกิตติ
“ไอ้ติ แกไม่ได้ตาฝาด พวกเราไม่ได้บ้า แต่เขาอยากให้พวกเราเห็น”
“ไอ้นัช แกพูดอะไรวะ แกเคยเห็น..เฮ้ย! แก..แก..เคยเห็นเหรอวะ” กิตติตาเบิกกว้างตกใจกับคำพูดของเพื่อน
“นัช แกเห็นเหรอ เห็นเมื่อไหร่ ทำไมไม่เล่าให้เราฟัง” นิสาลักษณ์ถามเร็วจ้องหน้าเพื่อนหนุ่มตาไม่กะพริบ
“ฉันเห็นคืนวันที่เกิดเรื่องกับแกนั่นแหละ ขากลับฉันแวะถามนักข่าว พอจะขึ้นรถกลับฉันเห็น..เหมือนที่ไอ้ติเห็น น้ำรวมตัวเป็นคน เขายิ้มให้ฉัน”
วนัชสบตาเพื่อนสาวแล้วหันมาสบตากิตติ พยักหน้าเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง กิตติหน้าเหยเก ขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“เราเห็นอะไรกันวะ มันคืออะไรวะลักษณ์” เขาโผเข้ากอดนิสาลักษณ์ราวกับเป็นเด็กที่เจอภูตผีร้ายตรงหน้า หญิงสาวทำหน้าไม่ถูก หล่อนเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่หล่อนเห็นคืออะไร
“เมื่อคืนฉันฝันเห็นผู้ชาย อายุประมาณฉันนี่แหละ เขาพาฉันไปที่ศาลาตั้งศพใครก็ไม่รู้ ฉันเห็นพ่อเดินเข้าไปที่นั่น ฉันถึงชวนแกสองคนไปเยี่ยมพ่อฉันไง”
ในเมื่อพูดแล้วจึงพูดทั้งหมด นิสาลักษณ์จ้องหน้าเขาตาค้าง กิตตินั่งตัวตรง วนัชกำลังบอกอะไรกับพวกเขาและสิ่งที่วนัชพูดนั้นสื่อถึงอะไรกันแน่ ความห่วงใยในตัวพ่อทำให้ฝันหรือผู้ชายที่วนัชฝันเห็นมาส่งข่าวเรื่องพ่อของวนัชหรือเปล่า
“นัช ไปหาพ่อแกเดี๋ยวนี้เลย เราจะได้รู้ว่าคนที่มาพาแกไปในฝันเขาต้องการบอกอะไรเรา”
นิสาลักษณ์เอ่ยขึ้น หล่อนลุกจากเก้าอี้ก่อนเพื่อน วนัชลุกตาม กิตติมองเพื่อนสาวแล้วว่า
“ยัยลักษณ์ ฉันจอดรถไว้บ้านแกนะ ไปรถไอ้ติคันเดียวก็พอ”
“เออๆ ไปขับเข้ามาเลย เดี๋ยวค่อยมาเอา”
รถวนัชแล่นผ่านเลยบ้านนิสาลักษณ์ หล่อนมองตรงไปข้างหน้า นับจำนวนซอยที่รถผ่านถึงซอยที่สี่ วนัชเปิดไฟเลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวเข้าไปประมาณกลางซอยย่อย เขาก็จอดรถที่หน้าประตูรั้วอัลลอยสีน้ำเงินเข้มปลายประตูรั้วเป็นสีทอง ป้ายแผ่นไม้ติดตรงกำแพงรั้วข้างประตูเล็ก บ้านเลขที่สีทองบนเนื้อไม้มองดูเด่นทีเดียว
“บ้านแม่เลี้ยงแกเหรอวะ” กิตติถามขณะสอดสายตาเข้าไปภายในรั้วใหญ่
“อือ.” วนัชตอบรับในลำคอแล้วเปิดประตูก้าวลงไปก่อนเพื่อนๆ
กิตติหันมามองนิสาลักษณ์ พยักหน้าเปิดประตูก้าวลงจากรถ นิสาลักษณ์มองตัวบ้านที่ดูเงียบขรึมอยู่ภายในรั้วแล้วหันมามองวนัช
“นัช มีคนรึเปล่าดูเงียบๆ ชอบกล”
“มี” วนัชตอบเพื่อนแล้วเดินไปกดกริ่งหน้าประตูรั้ว ครู่เดียวก็มีคนวิ่งออกมา
“มาหาใครครับ อ้าวคุณนัช สวัสดีครับ” เพิ่มพูนยกมือไหว้คนกริ่งทันทีที่เห็นหน้าชัด
“สวัสดีครับน้า คราวหน้าไม่ต้องไหว้ผมนะ พ่ออยู่มั้ย” วนัชยกมือรับไหว้คนสวนบ้านแม่เลี้ยง
เขามาหาพ่อเมื่อครั้งที่แล้ว เพิ่มพูนเป็นคนต้อนรับเขาเข้าบ้านเป็นคนแรก แม่เลี้ยงยิ้มรับเขาเช่นกันและดาลัดลูกสาวแม่เลี้ยงทำตัวสนิทสนมกับเขาทั้งที่เขาไม่อยากอยู่ใกล้หล่อน ส่วนชยาลูกชายคนโตของเพ็ญศรีมองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามคงกลัวว่าเขาจะมาขออาศัยอยู่ด้วยซึ่งเขาไม่เคยคิดเช่นนั้นแม้แต่วินาทีเดียว
“พ่ออยู่มั้ยน้า”
“อยู่ครับ เชิญข้างในครับ” เพิ่มพูนนบนอบกับชายหนุ่มแล้วเปิดประตูใหญ่
วนัชหันมาพยักหน้ากับเพื่อนๆ ประตูเปิดกว้างออกเขาจึงหันมาที่เพิ่มพูน
“น้าเพิ่ม นี่กิตติกับนิสาลักษณ์ เพื่อนผม ติ ลักษณ์ น้าเพิ่มพูนคนสวนบ้านนี้”
เพิ่มพูนยกมือไหว้สองหนุ่มสาวก่อนที่พวกเขาจะยกมือไหว้เสียอีก กิตติยิ้มแล้วว่า
“น้าเพิ่มไม่ต้องไหว้พวกเราหรอกครับ”
“เชิญข้างในครับ คุณผู้ชายกำลังจะไปข้างนอก” เพิ่มพูนผายมือให้คนทั้งสามแล้วเลี่ยงไปด้านข้าง วนัชพยักหน้า ก้าวนำเพื่อนเข้าไปในตัวบ้านหลังใหญ่
นิรุทธ์กับเพ็ญศรีเดินลงมาจากชั้นบน พยอมเดินเข้ามายืนห่างจากเจ้านายพอประมาณ
“มีอะไรพยอม” เพ็ญศรีมองหน้าสาวใช้
“คุณนัชมาขอพบคุณผู้ชายค่ะ” พยอมเรียนเจ้านายแล้วก้มหน้า
“ตานัชเหรอ อยู่ไหน” นิรุทธ์ยิ้มทันที ความดีใจวิ่งพล่านไปทั่วทั้งหัวใจ ลูกชายมาหาเขา
“อยู่ที่ห้องรับแขกค่ะ”
“หาน้ำให้แขกรึยัง” เพ็ญศรีมองสามีแล้วหันไปถามสาวใช้
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“มีของว่างก็ยกมาเร็ว” เพ็ญศรีสั่งอีกแต่นิรุทธ์ขัดไว้
“ไม่ต้องหรอกคุณ ตานัชคงมาธุระ”
“จะมาธุระหรือมาเยี่ยมคุณก็ต้องต้อนรับค่ะ คุณนัชเป็นลูกคุณก็เหมือนลูกฉันแหละค่ะ ไปค่ะ”
