EP.2 จะจีบกันอีกนานไหม??
[พาร์ท : ทศราช]
คฤหาสน์ราชภิรมย์ภักดี
“วันนี้ได้พาน้องทัวร์บริษัทไหม?” ทันทีที่ขายาวของผมก้าวเข้ามาภายในบ้าน เสียงเข้มของคุณย่าก็ดังขึ้น
ผมรู้ได้ทันทีว่าท่านมาหาผมด้วยเรื่องอะไร ปกติแล้วคุณย่าจะอาศัยอยู่ที่บ้านของไอ้เหมเป็นส่วนใหญ่เพราะอยู่หลังแรกสุดทำให้ง่ายต่อการใช้ชีวิตตามฉบับของผู้สูงอายุ
หากมีเรื่องสำคัญอะไรที่จะต้องคุยกันท่านก็จะเป็นฝ่ายขอให้ผมไปพบที่บ้านไอ้เหม ทว่าวันนี้ท่านลงทุนเป็นฝ่ายมาหาผมถึงที่ แสดงว่ามีเรื่องที่สำคัญมากกว่าปกติจะคุยกับผม และคงกลัวด้วยว่าเรื่องๆ นั้นจะทำให้ผมหนีหน้าไม่ยอมไปพบกับท่าน
ซึ่งถ้ามันเป็นเรื่องของเฟลม แน่นอนว่าท่านคิดถูก
ผมไม่ไป
ไร้สาระ
“ไม่ครับ” ผมตอบสั้นๆ พลางเดินตรงไปที่บันไดหมายจะขึ้นห้องไปทำงานต่อ แต่ก็ถูกคุณย่าขัดขึ้นซะก่อน
“ทำไมถึงกล้าขัดคำสั่งย่า” คุณย่าถามเสียงแข็งบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างรุนแรง ก่อนที่ท่านจะเดินมาขวางทางขึ้นของบันได
ผมถึงกับต้องพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพราะรู้สึกปวดหัวและหงุดหงิดกับการกระทำของคุณย่า ไม่เข้าใจว่าแค่ผมไม่ได้พาเฟลมไปทัวร์บริษัททำไมจะต้องโกรธขนาดนี้
แล้วอีกอย่างที่ไม่ได้ไปมันเป็นเพราะผมหรือไง
“ผมไม่ได้ขัด แต่หลานรักของคุณย่าดันหลับไม่ยอมตื่น แล้วแบบนี้จะให้ไปยังไงครับ?”
“แล้วทำไมไม่ปลุกน้อง”
“ปลุกแล้วครับ แต่เฟลมไม่ตื่น”
“อะ…อ๋อเหรอ…”
คุณย่ามีสีหน้าและท่าทีที่อ่อนลงกว่าตอนแรกเมื่อรู้ว่าผมไม่ได้ดื้อด้านและขัดคำสั่งของท่าน ยัยนั่นต่างหากที่ตะกละนอนจนเสียเรื่อง
“ขอตัวนะครับ” เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วผมก็ตั้งใจที่จะขึ้นไปอาบน้ำและทำงานต่อ
“เดี๋ยวสิลูก แล้วทำไมไม่ชวนน้องมากินข้าวเย็นด้วยกันล่ะ” แต่คุณย่าก็ไม่ยอมปล่อยผมไปอย่างง่ายๆ ยังยื้อผมไว้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ้อนวอนไปในตัว
“มันไม่ใช่หน้าที่ผมครับ แล้วก็พรุ่งนี้ผมจะพาเฟลมไปทัวร์บริษัทตามที่คุณย่าต้องการ แต่ตอนนี้ผมต้องรีบไปทำงาน โอเคนะครับ?”
ผมพูดดักคอและตัดบทสนทนากับคุณย่าในประโยคเดียวกัน แล้วเดินเลี่ยงขึ้นบันไดไปโดยไม่ได้รอฟังคำโต้แย้งของท่านอีก
เมื่อขึ้นมาถึงบนห้องผมก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมานั่งเปิดโน๊ตบุ๊กบนเตียงเตรียมที่จะเคลียร์งานต่อ ทว่าระหว่างนั้นเองใบหน้าของเฟลมตอนที่กำลังหลับก็ผุดขึ้นในหัว
แม้จะน้ำลายยืดจนไม่น่ามองไปเสียหน่อย แต่รวมๆ แล้วเธอก็นับว่าเป็นผู้หญิงที่น่ารัก ใบหน้าของเธอเป็นทรงรีรูปไข่ ดวงตากลมโตบ๊องแบ๊ว จมูกพอจะมีสันกับเขาบ้างแต่ก็ไม่ได้โด่งคมอะไรนัก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอดูบกพร่องเลยสักนิด เพราะริมฝีปากอิ่มขนาดเล็กสามารถรับกับทรงจมูกของเธอได้เป็นอย่างดี
เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงพิมพ์นิยมของผู้ชายหลายๆ คน
เฟลมเป็นคนตัวเล็กดูบอบบาง ผิวกายขาวเนียนและสะอาด ในสายตาผู้ชายคนอื่นๆ เธออาจจะดูน่าทะนุถนอม น่าปกป้องและน่าดูแล
แต่นั่นไม่ใช่กับผม
แม้ภายนอกเฟลมจะดูบอบบาง แต่ความเป็นจริงแล้วเธอมีความแสบซ่าอยู่ในตัวค่อนข้างสูง
ขอเล่าแบบรวบๆ ละกันว่าผมรู้จักกับเฟลมได้ยังไงและความสัมพันธ์ระหว่างเรามันคืออะไรกันแน่
ผมกับเฟลมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ทว่าครอบครัวของเราทั้งสองค่อนข้างสนิทกันมาก คุณพ่อของผมกับคุณอากิตติคุณพ่อของเฟลมเป็นเพื่อนซี้กัน และฝั่งครอบครัวของเฟลมก็มักจะแวะมาที่บ้านของผมบ่อยๆ ในช่วงที่เรายังเป็นเด็ก
ผมจำได้คร่าวๆ ว่าเราก็สนิทสนมกันตามวัยของเด็กในช่วงนั้น ในบรรดาผม ไอ้เหม และไอ้อินเธอจะสนิทกับผมมากกว่าใครๆ และเพราะผมคอยเล่นกับเธอให้กำลังใจเธอในวันที่ต้องสูญเสียคุณแม่รวมถึงถูกเพื่อนๆ ในโรงเรียนกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ จึงทำให้เธอติดผมหนึบราวกับเป็นลูก
ตอนแรกผมก็คิดว่าเธอคงยังเด็ก เดี๋ยวพอโตขึ้นอาการเหล่านี้ก็คงจะหายไป แต่เปล่าเลย ยิ่งโตเฟลมยิ่งติดผมมาก หลายๆ ครั้งที่เธอทำให้ผมรำคาญ
โชคดีหน่อยที่หลายปีก่อนหน้านี้เธอบินไปเรียนต่อที่เมืองนอก ผมโล่งหูและสบายใจขึ้นมาก ก็มีบ้างที่เธอมักจะส่งข้อความมาปรึกษาและสอบถามเรื่องต่างๆ เพราะเราเรียนที่เดียวกัน
ผมยอมรับว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมเนื่องด้วยต้องแบกรับภาระและหน้าที่หลายอย่างให้กับบริษัท เรื่องเครียดผมมีแทบทุกวัน ดังนั้นจะให้มาสดใสร่าเริงหรือต้องคอยดูแลใครทั้งที่ไม่เต็มใจไม่ได้หรอก
แต่ผมก็กะเอาไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะพาเฟลมทัวร์บริษัทจริงๆ ยังไงก็รับปากคุณย่าและยัยนั่นเอาไว้แล้วนิ
[จบพาร์ท : ทศราช]
เช้าวันต่อมา
ฉันตื่นนอนตั้งแต่เช้าด้วยความทรมานเพราะยังไม่คุ้นชินกับเวลาที่ประเทศไทยสักเท่าไหร่ สาบานว่าถ้าไม่ใช่เพราะต้องทำคะแนนจีบพี่ทศล่ะก็ฉันจะไม่มีวันตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าทั้งที่ยังง่วงอย่างเด็ดขาด
เมื่อวานฉันไม่ได้ทำอะไรให้เขาประทับใจเลย หนำซ้ำยังสร้างเรื่องน่าอายเอาไว้อีก แต่ช่างเถอะ ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันจะต้องหาทางทำให้พี่ทศมองฉันในแง่บวกบ้างให้ได้
เริ่มจากการแต่งตัวด้วยชุดโทนสุภาพ วันนี้ฉันเลือกสวมเดรสสีครีมแขนพองเล็กน้อย ความยาวประมานเลยเข่าขึ้นมาหน่อย ผมยาวสลวยจับไขว้กันเป็นเปียทั้งสองข้างคล้ายๆ ทรงเจ้าสาวแล้วม้วนเก็บให้เรียบร้อย
ฉันไม่ได้แต่งหน้าหนักอะไรมากเพราะเป็นคนที่ถ้าแต่งหน้าเยอะๆ แล้วจะดูแก่ ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะใช้คุชชันแทนรองพื้นตบเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า เขียนคิ้วด้วยแปรงที่แต้มสีฝุ่นโทนน้ำตาลธรรมชาติ ใช้อายแชโดว์สีชมพูผสมกลิตเตอร์ทาบางๆ บนเปลือกตา ดัดและปัดมาสคาร่าพอให้ขนตาเรียงตัวกันเป็นเส้น ปัดแก้มสีพีชอ่อนๆ และตบท้ายด้วยปาดลิปสติกสีชมพูนู้ดลงบนริมฝีปาก
“สวยแล้วล่ะ…” ฉันพูดให้กำลังใจตัวเองแล้วหันซ้ายหันขวาสำรวจใบหน้าทั้งสองข้างอีกครั้ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าตัวเองดูดีไร้ที่ติก็เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาคล้องบ่า แล้วลงไปหาพี่ดินที่รออยู่ด้านล่าง
“ไม่กินมื้อเช้าก่อนเหรอครับ?” พอเห็นฉันตรงมาที่หน้าบ้านโดยไม่แวะที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรกินพี่ดินก็ถามขึ้น
“เฟลมอยากรีบไปบริษัทไวๆ น่ะค่ะ เดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินที่นั่นก็ได้”
“ครับ”
พี่ดินรับคำอย่างว่าง่าย แต่ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าเขาเป็นห่วงเรื่องที่ฉันไม่กินมื้อเช้าก่อนออกจากบ้าน พี่ดินมักจะเป็นแบบนี้นี่แหละ ตามใจฉันเป็นที่หนึ่งแม้ตัวเขาจะไม่เห็นด้วยมากก็ตาม
น่ารักที่สุด
“สัญญาค่ะว่าจะกินข้าว เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วหน่า”
ฉันยื่นมือขึ้นไปบีบแก้มพี่ดินเบาๆ อย่างเอ็นดู พยายามจะทำให้เขาเลิกเป็นกังวล เพราะที่ผ่านมาพี่ดินคงปวดหัวเพราะฉันมามาก
ร่างสูงเบือนหน้าหนีเล็กน้อยโดยไม่ให้มือฉันหลุดออกจากใบหน้าของเขา ท่าทางแบบนี้เหมือนเด็กเลยแฮะ
“พูดแล้วนะครับ”
“ค่า~”
“จะยืนจีบกันอีกนานไหม รำคาญ” ระหว่างนั้นเสียงทุ้มเข้มของใครบางคนก็เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม ทำเอาฉันและพี่ดินต้องหันไปมองทางด้านหลังพร้อมกันเป็นตาเดียว
“พะ…พี่ทศ…”
