ตอนที่1
บนสะพานสูงเบื้องหน้าคือแม่น้ำกว้างใหญ่ที่หากพลาดตกลงไปอาจทำให้ชีวิตจบสิ้นลง หญิงสาวในชุดนักศึกษาเหม่อมองแม่น้ำในตอนกลางคืนที่เงียบสงบ ดวงตาเลื่อนลอยราวกับคนไร้สติ ขาเรียวค่อยๆ ก้าวข้ามรั้วที่กั้นไว้อย่างไม่รู้ตัว
“ฮึก...ฮือ” เสียงสะอื้นร้องไห้ดังต่อเนื่องอยู่หลายนาทีมือไม้สั่นเทา ตัวเริ่มชาไม่มีเรี่ยวแรง
แววตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตากำลังมองแม่น้ำตรงหน้าที่มืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นอะไร เธอไม่รู้เลยว่าหากตัดสินใจกระโดดลงไปจะตายในทันทีหรือจะทรมานด้วยการจมน้ำก่อน แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็อาจจะทำให้เธอหลุดพ้นจากความทุกข์ที่มีตอนนี้
“ลาก่อนนะ” เสียงหวานสั่งลาชีวิตตลอดยี่สิบปีที่ไม่มีความหมายอะไร เธอหลับตาสนิทก่อนที่ขาเรียวจะก้าวไปข้างหน้าเตรียมที่จะกระโดดลงจากสะพานสูง
หญิงสาวตัวเล็กในชุดนักศึกษาตัดสินใจที่จะลาโลกนี้ไปเพื่อไปหาความสุขในโลกหน้า หูของเธออื้ออึ่งไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น แม้แต่เสียงรถที่เบรกจอดกะทันหันอยู่ด้านหลังก็ไม่ได้ยิน
“นี่เธอ! ทำบ้าอะไร!” เสียงตะคอกดังลั่นก่อนมือหนาจะคว้าแขนของเธอเอาไว้ในวินาทีที่ร่างเล็กกำลังจะกระโดดลงไป
“ปล่อยฉันค่ะ” อัญริสาพูดด้วยเสียงเรียบๆ ใบหน้าไร้ความรู้สึก ทว่ามือหนากลับยิ่งกำแน่น
“ไม่ปล่อย! ทำไมคิดสั้นแบบนี้ห๊ะ!” ร่างสูงไม่เพียงแค่ต่อว่าเธออย่างเดียวเขารีบรวบตัวเธอแล้วอุ้มร่างเล็กให้ออกมาจากบริเวณที่ดูหวาดเสียวและอันตราย
“คุณจะมาห้ามฉันทำไมคะ เราไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย”
“เห็นคนจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายแบบนี้จะให้ฉันขับรถผ่านไปเฉยๆ หรือไง” ชายหนุ่มจับร่างเล็กเขย่าเรียกสติเธอให้กลับมา
“ฉันเจ็บค่ะ”
“เจ็บสิดีจะได้มีสติ แล้วคิดว่าถ้าโดดลงไปไม่เจ็บหรือไง เธอไม่ได้ตายทันทีหรอกนะมันต้องทรมานก่อนต่างหากล่ะ” เขาไม่ได้พูดปลอบแต่กลับขู่ให้เธอกลัวความทรมานขึ้นมา
“อย่ามายุ่งกับฉันค่ะ” หญิงสาวสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมจากเขาแล้วตั้งท่าจะเดินหนี แต่มือหนาก็คว้าแขนเธอไว้อีกครั้ง
“บ้านอยู่ไหนเดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ไม่ต้องค่ะ”
“ก็บอกว่าจะไปส่งไง” เขาปล่อยให้เธอกลับคนเดียวในเวลานี้ไม่ได้ ถึงจะไม่ใช่คนดีแต่ไม่รู้ว่าเธอจะคิดสั้นขึ้นมาอีกตอนไหน
“ฮึก...ฮือ” จู่ๆ คนตัวเล็กก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง น้ำตาไหลพรากจนอาบแก้มทั้งสองข้าง
“ร้องไห้ทำไมฉันไม่ได้ทำอะไรเธอสักหน่อย แค่จะไปส่งที่บ้านเอง”
“ฮือ...ไม่มีบ้านให้กลับแล้วค่ะ...ฮึก” หญิงสาวทรุดนั่งกอดเข่าร้องไห้ตรงหน้าเขาอย่างน่าสงสาร
“โอเคๆ เข้าใจแล้ว เลิกร้องไห้ก่อนเถอะ”
“ฮึก...คุณกลับไปเถอะค่ะ ฉันไม่คิดจะฆ่าตัวตายแล้ว”
“จะให้ฉันทิ้งเธอไว้แบบนี้ได้ยังไงล่ะ”
ชายหนุ่มคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแถมเพิ่งเจอกันไม่ถึงห้านาทีเสียด้วยซ้ำ แต่เขากลับเป็นห่วงเป็นใยเธอยิ่งกว่าคนในครอบครัวเสียอีก
“คุณชื่ออะไรคะ” ใบหน้าสวยเงยหน้าถามด้วยความอยากรู้
“ชานนท์ แล้วเธอล่ะ?” เสียงทุ้มตอบกลับเธอในทันที
“อัญริสาค่ะ เรียกริสาก็ได้” หญิงสาวจดจำใบหน้าของคนที่เข้ามาช่วยเหลือเธออย่างละเอียดแม้จะในความมืดแต่ก็รับรู้ได้ถึงความหล่อของเขาผ่านแสงไฟที่ส่องกระทบเข้ามา
“ตอนนี้เรารู้จักกันแล้วนะ ถ้างั้นไปขึ้นรถ”
“ไปไหนคะ?”
“ไปจากตรงนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ชานนท์ยื่นมือให้เธอจับก่อนจะดึงรั้งร่างเล็กให้ลุกขึ้นแล้วพาเธอออกไปจากบริเวณนี้เสียก่อน
อัญริสาถูกคนที่เพิ่งเจอกันพามานั่งสงบสติอารมณ์ที่ร้านอาหารฟาสฟู๊ดที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ด้วยความหิวที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่กลางวันทำให้เธอกินแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่หมดภายในไม่กี่นาที
“ค่อยๆ กินก็ได้” ชายหนุ่มนั่งกอดอกมองคนตรงหน้าที่กินอย่างหิวโหยจนต้องส่ายหน้า
“คุณไม่กินเหรอคะ”
“ฉันไม่กินของพวกนี้หรอก” เขาไม่ชอบกินอาหารพวกนี้เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพมากนัก คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำแบบเขาจึงต้องเลี่ยงอาหารเหล่านี้
“ขอบคุณนะคะที่จ่ายเงินให้ฉัน” เธอไม่มีเงินติดตัวมากพอที่จะซื้ออาหารได้ ถึงจะพกกระเป๋าสะพายแต่ด้านในก็มีแค่เศษเหรียญเพียงน้อยนิดกับหนังสือเรียนที่คว้าติดมือก่อนออกจากบ้านเท่านั้น
“เล่าได้ไหมว่าทำไมถึงทำแบบนั้น แต่ถ้าเธอไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร” ชานนท์ทำทีเป็นไม่อยากรู้ทั้งที่จริงๆ อยากรู้ว่าอะไรทำให้เธอตัดสินใจแบบนั้น
“ฉันจะเล่าค่ะ”
เพราะรู้สึกว่าเขาไว้ใจได้หญิงสาวจึงวางทุกสิ่งที่อยู่ในมือก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและเริ่มเล่าสิ่งที่เธอพบเจอให้เขาฟังอย่างไม่ปิดบัง
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้อัญริสาที่เพิ่งเลิกเรียนกลับถึงบ้านที่ปิดไฟมืดจนแทบมองไม่เห็น ภายในบ้านเงียบสงัดไม่มีเสียงของใครสักคน เธอจึงรู้ว่าเวลานี้แม่และพ่อเลี้ยงคงยังไม่กลับจากที่ทำงาน
ครอบครัวของเธอไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ลำบาก หลังจากที่แม่หย่าร้างกับพ่อของเธอไปเมื่อห้าปีก่อนท่านก็แต่งงานใหม่อีกครั้งกับหนุ่มรุ่นน้อง ซึ่งคนที่มาเป็นพ่อเลี้ยงอายุกับเธอไม่ถึงสิบปีเสียด้วยซ้ำ อัญริสาจึงไม่ค่อยสนิทและไม่เคยเรียกสามีใหม่ของแม่ว่าพ่อ
อัญริสาเข้าห้องนอนของตนเองเหมือนอย่างทุกวันที่ผ่านมา เธอกำลังจะถอดเสื้อผ้าเพื่อจะอาบน้ำทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นเงาของใครบางคนในห้องนอนของเธอ
พรึ่บ! เจ้าของห้องเปิดไฟสว่างจ้าก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของคนที่เรียกตัวเองว่าพ่อเลี้ยงจะปรากฎตัวขึ้น
“คุณมาทำอะไรห้องฉันคะ” อัญริสาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเพราะเธอไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับห้องนอนของเธอ
“พ่อก็แค่จะแวะมาหาริสาเฉยๆ เอง” ชายหนุ่มอายุไม่ได้ห่างกับเธอมาก แต่ชอบแทนตัวเองว่าพ่อเพราะเป็นสามีใหม่ของแม่เธอ
“เลิกแทนตัวเองว่าพ่อเถอะค่ะ เราไม่ได้อายุห่างกันเยอะสักหน่อย”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากเรียกพ่อเหรอแล้วจะให้เรียกอะไรดีล่ะ”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ แต่ตอนนี้คุณต้องออกไปจากห้องของฉัน” เธอชี้นิ้วไปที่ประตูเป็นสัญญาณบอกให้เขาออกไปเดี๋ยวนี้
“อ๋อ ไม่อยากให้เป็นพ่องั้นคง...อยากให้เป็นผัวสินะ” คนตัวโตไม่ได้สนใจคำพูดของเธอสักนิด เขากระโจนจู่โจมเข้าประชิดตัวเธอโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
“ปล่อยนะ! อย่ามายุ่งกับฉันไอ้หื่น” เธอรีบผลักเขาออกทันทีแต่อีกฝ่ายกลับรัดเธอแล้วเหวี่ยงไปที่เตียง
“อย่าดิ้นสิ ถ้ายอมดีๆ เธอจะติดใจแน่เพราะแม่เธอยังติดใจฉันเลย”
“ฉันจะบอกแม่ว่าแกมันทุเรศ” อัญริสาดีดดิ้นจนชุดนักศึกษาที่สวมใส่ยับยู้ยี่เพียงเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตอนนี้
“แม่เธอหลงฉันจะตาย ไม่ว่าจะพูดจะขออะไรก็ให้ทั้งนั้น คิดว่าเขาจะเชื่อคำพูดเธอไหมล่ะ”
“ปล่อย! ไอ้โรคจิต” อัญริสาเถียงไม่ออกเพราะตั้งแต่แยกทางกับพ่อแล้วแม่ก็ไม่เคยสนใจเธออีกเลย ยิ่งพอแต่งงานใหม่เธอก็ยิ่งถูกละเลย
หญิงสาวพยายามหนีเอาตัวรอดจากการกอดรัดแน่นของอีกฝ่าย แต่ขนาดตัวและพละกำลังของเธอไม่สามารถสู้แรงเขาได้เลย เพราะพ่อเลี้ยงของเธอนั่นเป็นนักกีฬาที่ออกกำลังกายประจำแล้วเธอจะไปสู้อะไรเขาได้
