บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 - ขอจีบคุณเธียร

“พี่อย่าถือสาเพื่อนน้องเลยนะ พอเมาแล้วชอบพูดจาเลอะเทอะ”

สายธารถึงกลับเลิ่กลั่กก่อนจะลากเพื่อนสาวตัวดีออกจากพี่ชาย ไม่คิดว่าฤทธิ์มึนเมาจากแอลกอฮอล์จะทำให้เพื่อนเธอเปลี่ยนไปขนาดนี้

“ไม่ได้พูดเลอะเทอะนะสักหน่อย เราชอบคุณเธียร…”

หมับ! เสียงหวานกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อสายธารเลื่อนมือมาปิดปากของเธอไว้แน่นไม่ให้พูดต่อ

“อื้ออ~”

“ตอนนี้ดึกแล้ว น้องขอตัวไปส่งยัยปริมกลับบ้านก่อนนะ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังพยายามฉุดกระชากปาลิดาให้เดินออกมาจากตรงนั้น เมื่อเห็นสายตาของเธียรธรรมที่มองมาคล้ายกับรำคาญพวกเธอนักหนา

“กลับบ้านกันยัยปริม เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“แต่เรายังไม่…”

“ไม่ต้องพูดมาก บอกให้กลับก็กลับเถอะน่า”

-บนรถ-

“แกพูดอะไรออกไปรู้ตัวบ้างไหม มีสติหรือเปล่าเนี่ย”

คนตัวเล็กยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อเรียกสติเมื่อได้ยินในสิ่งที่สายธารบอก ให้ตายเถอะ! กล้าไปสารภาพรักแบบนั้นได้ยังไงกัน

“แล้วพรุ่งนี้จะกล้าไปสู้หน้าเขาได้ยังไงนะ” ภายในใจเริ่มเกิดความกังวลมากมาย ปกติเธียรธรรมก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าของเธออยู่แล้ว พอได้มาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เขาคงจะเกลียดเข้าไปกันใหญ่

“จะยังไงก็ช่างเถอะ เพราะอย่างน้อยพี่เธียรก็รับแกเข้าฝึกงานแล้ว”

ปริมถอนหายใจหนักเมื่อไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ เธอพยายามคิดในแง่ดี ถึงแม้จะผิดหวังก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะอย่างน้อยก็ยังได้บอกความในใจของตัวเอง

-บ้านสิริรัฐภาค-

“วันหยุดไม่ใช่เหรอ หนูจะออกไปไหนแต่เช้า”

หญิงสาวหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงของพ่อดังขึ้นจากทางด้านหลัง ในขณะที่เธอกำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้านในช่วงสายของวัน

“ไปกรอกเอกสารฝึกงานค่ะ”

“ฝึกงานที่ไหน? ทำไมถึงไม่บอกพ่อ”

“ฝึกงานที่บริษัทของพี่ชายสายธารน่ะค่ะ”

“จะไปฝึกงานที่อื่นให้ลำบากทำไมกัน บริษัทเราก็มี” พอได้ยินแบบนั้น คนเป็นพ่อถึงกลับอดห่วงไม่ได้

“หนูอยากลองไปหาประสบการณ์ข้างนอกดูบ้างค่ะ”

“คิดทบทวนอีกทีดีไหม พ่อไม่อยากเห็นหนูลำบากนะ”

“แค่ฝึกงานคงไม่ลำบากหรอกค่ะ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะ แล้วอีกอย่างก็มีสายธารคอยดูแลด้วยค่ะ” เธอเดินเข้าไปกอดพ่อไว้แน่นเมื่อรับรู้ถึงความเป็นห่วง

“ถ้ายืนยันแบบนั้นก็ตามใจ แล้วบริษัทที่ว่ามันอยู่ตรงไหน เดี๋ยวพ่อไปส่ง”

เมื่อรู้ว่ามันคือการตัดสินใจแน่วแน่ของลูกสาวเขาจึงไม่ห้ามหรือซักไซ้อะไรไปมากกว่านี้ เพราะปาลิดาโตพอที่จะตัดสินใจเองได้แล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง”

“…..”

-บริษัทธราธร-

ฉันยืนมองตึกสูงตระหง่านขนาดมหึมาหลายสิบชั้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้า พอเอาเข้าจริงกลับรู้สึกประหม่าจนทำตัวไม่ถูก

“มายื่นเอกสารขอฝึกงานค่ะ”

เมื่อมั่นใจแล้ว จึงเดินเข้าไปภายในตัวอาคารก่อนจะยื่นแฟ้มเอกสารให้พนักงานที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ

“เชิญนั่งรอก่อนนะ ต้องรอเรียกชื่อสัมภาษณ์ตามคิว”

“ค่ะ”

ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่บริเวณนั้น ไม่ใช่มีแค่ฉันแต่ยังมีนักศึกษาอีกหลายสถาบันที่กำลังนั่งรอสัมภาษณ์งานเช่นเดียวกัน

“มาฝึกงานที่นี่เหมือนกันเหรอ?”

“ใช่ค่ะ” ฉันหันไปยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเมื่อมีชายหนุ่มหน้าตาดีเข้ามาชวนคุย

“เราชื่อกรณ์ มาฝึกงานที่นี่เหมือนกัน อยู่แผนกกราฟฟิก ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เราชื่อปริม ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

“หวังว่าเราจะได้เจอกันบ่อยขึ้นนะ”

“…..”

“ปาลิดา สิริรัฐภาค!”

“มาค่ะ” เมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อจึงรีบยกมือขานรับด้วยความสงสัย ทั้งๆ ที่เพิ่งมาถึงแต่ทำไมกลับได้สัมภาษณ์เป็นคนแรก

“เดี๋ยวขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่45 คุณเธียรธรรมเพิ่งโทรมาบอกว่าจะเป็นคนสัมภาษณ์เธอด้วยตัวเอง”

“อ่อ…ค่ะ” ถึงแม้จะไม่เข้าใจอะไรมากนักแต่ด้วยความเกรงใจจึงไม่ถามอะไรให้มากความ

“รีบไปเลยนะ ห้ามช้าเด็ดขาด ท่านประธานไม่ชอบรอใคร”

“ได้ค่ะ”

ก๊อก~ ก๊อก~ บานประตูห้องทำงานถูกเปิดออกเมื่อเจ้าของห้องอนุญาตให้ฉันเข้าไปได้

ห้องทำงานของคุณเธียรมีขนาดใหญ่มาก ภายในห้องถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราที่คุมโทนสีเทาและดำซะส่วนใหญ่

“มาสัมภาษณ์งานค่ะ”

“นั่งลงสิ หรือคิดจะยืนค้ำหัวฉันอยู่แบบนั้น”

“…..” พอได้ยินแบบนั้นถึงกลับทำตัวไม่ถูก รีบนั่งลงตรงข้ามอย่างเก้ๆ กังๆ

“ทำไมถึงมีปริมแค่คนเดียวล่ะคะ?” ดวงกลมโตสอดส่องมองไปบริเวณโดยรอบด้วยความสงสัยเมื่อในห้องนี้มีแค่เราสองคน

“แล้วคนอื่นไปไหนกันหมด”

“เพราะฉันเรียกเธอมาสัมภาษณ์แค่คนเดียวไง”

“…..”

ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันด้วยความกังวลเมื่อคุณเธียรเริ่มไล่สายตาอ่านประวัติส่วนตัวในใบสมัครงาน

ฉันเคยมีโรคประจำตัวร้ายแรงมาก่อน เลยกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจไม่รับฉันเข้าฝึกงาน

“ตอนเด็กเธอเคยผ่าตัดอะไรมา?”

“ตอนสี่ขวบ เคยผ่าตัดโรคหัวใจค่ะ”

“แล้วตอนนี้หายดีหรือยัง?” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาเมื่ออ่านถึงโรคประจำตัวที่ฉันเคยเป็น

“หายดีแล้วค่ะ”

“พูดได้ห้าภาษาเลยเหรอ?”

“ปริมจบจากโรงเรียนนานาชาติน่ะค่ะ เลยพูดได้หลายภาษา”

“เป็นลูกคนรวยสินะ”

“…..” เมื่อไม่รู้จะตอบว่าอะไร จึงได้แต่ส่งยิ้มบางๆ แทนคำตอบ

“แล้วแบบนี้จะทำงานหนักได้เหรอ?”

“จะพยายามทำให้ได้ค่ะ”

“ถึงแม้จะเป็นแค่เด็กฝึกงานแต่ฉันก็จ่ายเงินเดือนให้นะ คิดว่าจะทำคุ้มค่าจ้างหรือเปล่า”

นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น พร้อมไล่สายตามองสำรวจฉันอย่างไม่เชื่อว่าจะทำงานหนักได้

“คุณเธียรอยากให้ปริมทำอะไรก็บอกมาได้เลยค่ะ ปริมทำได้ทุกอย่าง”

“รับปากอะไรไว้ก็ทำให้ได้ด้วยล่ะกัน”

“ค่ะ”

“เดี๋ยวฉันจะให้เลขาโทรไปบอกวันเริ่มงานอีกที เธอมีอะไรสงสัยอีกไหม”

“ปริมมีอีกหนึ่งเรื่องที่อยากถามค่ะ”

“ว่ามาสิ”

“คะ…คุณเธียรมีแฟนหรือยังคะ?”

“…..” เขาหยุดชะงักไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำถาม คุณเธียรคงไม่คาดฝันว่าฉันจะกล้าถามมันตรงๆ

“นี่คือคำถามที่เธออยากรู้?”

“อยากรู้ค่ะ ถ้าเกิดว่าคุณเธียรมีแฟนแล้ว ปริมจะได้ตัดใจเลิกชอบคุณเธียร”

“แล้วถ้าฉันยังไม่มีแฟน เธอคิดจะทำอะไรต่อ?”

“ปริมจะจีบคุณเธียร” หัวใจดวงน้อยเต้นแรงอย่าบ้าคลั่งเมื่อสมองสั่งให้พูดประโยคนั้นออกมา

“คิดว่าตัวเองมีดีอะไรถึงกล้าจีบผู้ชายก่อน” ไม่พูดเปล่าแต่ยังเดินเข้ามาหาฉันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“แล้วคุณเธียรชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอคะ?”

“…..”

ริมฝีปากหนายกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน ทำเอาความมั่นใจที่มีก่อนหน้านั้นต้องหมดลงไปในทันที

แกร๊ก~ บานประตูห้องทำงานถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับเลขาสาวคนสวยที่เดินเข้ามาใหม่

“ห้องประชุมเตรียมพร้อมแล้วค่ะ อีกห้านาทีสามารถเริ่มทำการประชุมได้เลยค่ะบอส”

“เลื่อนออกไปก่อน ฉันยังคุยกับธุระไม่เสร็จ”

“ได้ค่ะ” เลขาสาวโน้มตัวรับคำสั่งแล้วรีบเดินออกจากห้องไป

“…..”

“ยังไม่ได้ตอบเลยนะคะ ว่าคุณเธียรชอบผู้หญิงแบบไหน?”

“…..” เขาไม่ตอบแต่เลือกที่จะจ้องหน้าฉันนิ่งด้วยสายตาแปลกๆ ชอบกล

“คุณเธียรชอบผู้หญิงแบบหนูไหมคะ”

“อย่ายั่วให้มันมากนัก ความอดทนฉันไม่ได้มีขนาดนั้น”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel