ข้าคือมู่โม่โฉว
1
ข้าคือมู่โม่โฉ่ว
เสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวถูกถอดมาคลุมร่างไร้สติ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาวตายก่อนถึงวัด โดยมีเจ้าของรถม้าคอยดูแลอยู่ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าบรรจงเช็ดคราบโคลนที่เปื้อนหน้าเขาออกเบา ๆ คราบนี้ติดนานเกินไปจึงใช้ผ้าสะอาดแห้งเช็ดไม่ออก
“อือ...” เสียงเจ็บครวญดังออกมาจากริมฝีปากซีดคล้ำเพราะความหนาว นางปรายตามองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขาลืมตาจึงขยับยื่นหน้าไปมองคนนอนราบอยู่บนที่นั่ง คนเจ็บพยายามหยัดกายลุกนั่งแม้ตาจะยังปิดอยู่
“คุณชายอย่าขยับเลยเจ้าค่ะ ท่านยังเจ็บอยู่” เขายังนึกว่าตนเองถูกจับตัวมาเสียแล้วแต่พอได้ยินเสียงหวานจึงลืมตามองคนพูด ใบหน้างดงามเบื้องหน้าทำให้คนเจ็บเกือบลืมหายใจ ใบหน้าห่างเพียงช่วงเอื้อมมือเท่านั้น สีหน้าที่เคยซีดเซียวเพราะเพลียจากการเสียเลือดกลับกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
“มะ...แม่นาง” คนเจ็บขยับปากพูดเสียงแผ่วเบา นางรู้ว่าบุรุษตรงหน้าอึดอัดท่าทางตอนนี้ จึงขยับไปนั่งพิงด้านในรถม้าเช่นเดิม เพื่อให้เขาได้ผ่อนคลายมากขึ้น
“คุณชายไม่ต้องเกรงใจ นอนพักก่อนเถิด หากมีสิ่งใดอยากถามรอคุณชายดีขึ้นย่อมมีโอกาสได้ถาม” นางว่าเช่นนั้นเขาจึงไม่มีสิ่งใดอยากพูดอีก นอนราบไปกับที่นั่งเช่นเดิมเขาไม่มีแรงกำลังจะลุกขึ้นอย่างนางว่าจริง ๆ ฝืนสติเพียงไม่กี่นาทีดวงตาสองข้างก็ปิดลง
เรือนไม้กลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่ในเขตวัดบนเขา ทางเข้าวัดค่อนข้างยากลำบากวัดจึงไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามา จะเรียกว่าวัดร้างก็มิผิดอันใด ทุก ๆ เดือนนางจึงนำของในเมืองเข้ามามอบแด่ผู้ที่อยู่ในนี้ แม้จะเป็นวัดแต่กลับไม่มีพระอยู่เลยมีเพียงชายผู้หนึ่งพักอาศัย
“มากันแล้วหรือ” บุรุษรูปร่างปราดเปรียวเอ่ยถามคนขับรถม้า จางหย่งลงจากรถม้าชักบรรไดลงให้สตรีด้านในลงจากรถอย่างสะดวก เสร็จแล้วจึงเดินไปหาชายตรงหน้า
“ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ สบายดีใช่หรือไม่ ลี่อินไม่ได้มาเกือบครึ่งเดือน ท่านคงยังมิขาดอาหารหรอกกระมัง” เสียงหวานเอ่ยเย้าแหย่ผู้ได้ชื่อว่าอาจารย์ ไม่มีท่าทีคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอสุราอยู่เลย มีเพียงท่าทางของเด็กสาวเย้าผู้อาวุโส แม้ผู้อาวุโสคนนี้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามิถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ นางก้าวลงจากรถม้าแล้วคารวะผู้เป็นอาจารย์ด้วยรอยยิ้มงดงาม
“อย่ามาเย้าข้า ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย ถึงอย่างไรเจ็ดปีก่อนก็เป็นข้าที่หาข้าวปลาอาหารให้เจ้า ถึงเจ้าไม่มาข้าก็หากินเองได้ แต่เหตุใดจึงมาช้ากว่าเดิมเล่า ข้าคิดว่ามีเรื่องเสียอีก หากมาช้ากว่านี้อีกหนึ่งเค่อข้าคงลงเขาไปตามเองแล้ว”
“ลี่อินกับลุงจางบังเอิญเจอคุณชายผู้หนึ่งบาดเจ็บจึงนำขึ้นรถม้ามาด้วย อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยดูอาการหน่อยเจ้าค่ะ” นางกล่าวกับอาจารย์แล้วจึงเบี่ยงตัวมองไปยังรถม้าด้านหลัง ก่อนหันไปมองลุงจาง เขาพยักหน้าให้แล้วขึ้นไปพาคุณชายท่านนั้นลงมาจากรถม้า
“วิชาข้าก็สอนให้จนหมดแล้ว ไม่ลองทำเองเล่า เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าจำที่สอนไปมากน้อยเพียงใด” อาจารย์เหว่ยถิงกล่าวเสียงเข้ม หันมองลุงจางที่แบกบุรุษผู้นั้นอยู่พยักหน้าบ่งบอกว่าให้เขานำบุรุษผู้นั้นไปพักในเรือน
“หากอาจารย์กล่าวเช่นนี้ ข้าก็ขอแสดงความสามารถหน่อย” หญิงสาวกล่าวขบขัน อาจารย์หนุ่มยื่นมือไปผลักหัวนางเบา ๆ อย่างเอ็นดู นางจึงเดินไปด้านในปล่อยให้อาจารย์ขนของบนรถม้าลงเอง คงไม่นานอีกเดียวลุงจางก็คงมาช่วย
สองมือเรียวผลักประตูไม้เบา ๆ ก้าวย้ำไปบนพื้นห้องที่ไม่ค่อยได้ใช้งานมากนัก อาจารย์ของนางดูแลห้องนี้ไว้เผื่อมีผู้ใดโชคดีเดินทางมารักษากับอาจารย์ถึงที่นี่ แต่เจ็ดปีมานี้นางเจอผู้คนแบบนั้นเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
บุรุษผู้นี้ก็นับว่ามีโชคไม่เช่นนั้นคงหนาวตายอยู่ตรงตีนเขา หากคนพบเขาไม่ใช่นางที่เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของหมอเทวดาหวงเหว่ยถิง
“คุณชายหากเจ็บก็ร้องได้ ข้าจะเบามือให้” นางตักผงเกลือใส่ลงไปในถังไม้ขนาดกลาง เทน้ำเปล่าลงไป จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปบนรอยแผลตามร่างกายของเขา นางปลดเสื้อคลุมกายเขาออกจนเกือบเปลือยเปล่า ดีที่นางยังเหลือผ้าปกปิดร่างกายด้านล่างไว้ให้
อากาศหนาวเย็นพอถูกน้ำเย็น ลมเย็นที่ทะลุผ่านฉากกั้นห้องคนเจ็บหนาวสะท้านรู้สึกตัวในที่สุด พอเช็ดแผลเสร็จนางจึงเทผงสมานแผลออกมาจำนวนหนึ่งบรรจงแตะมันลงรอยแผลขีดข่วนตามร่างกาย
“อา เจ็บ” คนเจ็บร้องครวญออกมาเสียงแผ่วเบา เมื่อถูกทาผงสมานแผล แต่เปลือกตายังคงปิดอยู่ สีหน้าเจ็บปวด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแน่น นางจึงลามือจากแผลใหญ่บริเวณหน้าอกของเขา
คนเจ็บลืมตากระพริบตาไปมาหลายครั้ง ปรับสภาพสายตาได้จึงกรอกตามองหญิงสาวข้างกาย ใบหน้างดงามนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ใบหน้านี้เขาเคยเห็นมาก่อนคงจะเป็นในฝันกระมัง เขาคงหลับไปนานจนฝันเป็นแน่ ในโลกนี้จะมีสตรีงดงามเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เขาหลับตาลงอีกครั้งแต่ก็ลืมตาขึ้นอีก เพราะสัมผัสว่าถูกลมหนาวปะทะร่างกาย คนเจ็บเบิกตาโพลง เมื่อรู้ว่าตนเองถูกจับถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเช่นนี้
“เจ้า เจ้า เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้”
“คุณชายท่านใจเย็นก่อน ข้ากำลังรักษาบาดแผลให้ท่านมิได้ทำสิ่งใดไม่ดี”
“แต่ แต่ ชายหญิงอยู่กันเช่นนี้ไม่เหมาะสม”
“คุณชายไม่ต้องคิดมาก ที่นี่ไม่มีผู้ใด ไม่ต้องเกรงว่าตนเองจะเสียเกียรติ ข้าจะไม่บอกผู้ใดให้คุณชายเสื่อมเสีย” นางตอบยิ้ม ๆ คนถูกกล่าวถึงกับหน้าแดงขึ้นมา เขาเป็บุรุษแต่ยังละอายมากกว่านางที่เป็นสตรีเสียอีก เหตุใดนางจึงกล่าวได้ไม่อายกัน
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้ากลัวเจ้าจะถูกต่อว่า ข้าเป็นชายอย่างไรก็ไม่เสียเกียรติ แต่เจ้านั้นเป็นสตรี”
“เรื่องนี้ท่านยิ่งไม่ต้องห่วง”
“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางแล้ว”
“ท่านทนอีกสักหน่อยได้หรือไม่ข้ายังต้องใส่ยาที่หน้าอกของท่าน” เขาไม่ตอบพยักหน้า นางจึงหยิบผงยาสมานแผลมาเกลี่ยบนแผลเหนือหน้าอกข้างซ้าย ใส่ยาเสร็จเขาหยัดกายลุกนั่งสวมอาภรณ์เปรอะเปื้อนของตนเอง
“ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ หากไม่ได้เจ้าเกรงว่าข้าคงขาดใจตายที่ตีนเขาเป็นแน่”
“เช่นนั้นถือว่าเป็นบุญของท่านที่ยังมีชีวิตรอด ข้าอยากถามคุณชายสักเรื่องไม่ทราบคุณชายถือหรือไม่”
“หากข้าตอบได้ ข้าจะตอบแม่นาง” เขาตอบพลางจดจ้องใบหน้างดงามของนางไปด้วย ละสายตาจากนางได้เพียงไม่กี่อึดใจก็หันกลับมามองอีกเป็นเช่นนี้หลายต่อหลายหน จนเขาเองยังนึกโมโหตนเอง ใช่ว่าเกิดมาไม่เคยเจอหญิงงาม ทั้งว่าที่คู่หมั้นคู่หมายก็นับว่าเป็นหญิงงาม น้องสาวของพ่อก็เป็นถึงหวงกุ้ยเฟยเรื่องงดงามยิ่งไม่ต้องพูด
เมื่อได้พานพบสตรีตรงหน้า เขาเหมือนถูกดึงดูดไว้ให้สายตาตรึงอยู่กับใบหน้างดงามหมดจดนี่ หากเรียกนางว่างามล่มเมืองคงไม่ผิดนัก แต่หากจะเรียกงามล่มเมืองก็ยังมีสตรีอีกผู้หนึ่งที่ถูกกล่าวขานเช่นนี้ เพียงแต่นางใช้ชีวิตอยู่ในหอสุราของตระกูลเขาเท่านั้น สตรีตรงหน้าจึงมิอาจเป็นนางไปได้
“คุณชายเป็นใคร มาทำสิ่งใดในป่าเช่นนี้เจ้าคะ”
“ข้าคือมู่โม่โฉ่ว บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลมู่ เข้าป่ามาเพื่อตามหาหมอเทวดา”
