บทนำ
“อาหรงผิง คืนเข้าหอวันแรกของเจ้าเมื่อวานเป็นอย่างไรบ้าง ดีหรือไม่กัน”
เจ้าของนามหรงผิงหน้าแดงขึ้นสีทันใด นางเพิ่งเดินมานั่งร่วมโต๊ะน้ำชากับเหล่าสหายไปไม่นานก็ถูกถามเรื่องที่ทำให้เขินอายเสียแล้ว
“พวกเจ้าทำอย่างกับว่าไม่เคยอย่างนั้นแหละ ก็เป็นคืนเข้าหออย่างที่พวกเจ้ารู้นั่นแหละ ไม่มีอันใดไม่ดีหรอก อ้อ แต่หากเป็นอาเอินอยากรู้เจ้าค่อยมาถามข้าภายหลังส่วนตัวได้ ข้าย่อมแนะนำสหายจากใจจริงอยู่แล้ว”
หรงผิงนั่งข้างลู่เอินพอดีก็เอื้อมมือตนไปวางบนมือของนางด้วยเลย เป็นการแสดงการปลอบประโลม
“ว่าแต่เจ้าเถอะ เห็นว่าตั้งครรภ์แล้ว ก็ยังมิวายนัดพวกเราออกมาข้างนอกอีกนะ หากเจ้ามิสะดวกเดินทางไว้ส่งเทียบเชิญมายังจวนก็ได้แล้ว”
หรงผิงชักจูงบทสนทนามุ่งตรงไปยังสตรีชุดสีเหลืองสดใสเหมาะสมกับรอยยิ้มเต็มหน้าที่มีมาจากการที่ในใจตนเปี่ยมความสุข สตรีที่ออกเรือนไปแล้วนอกจากปรนนิบัติสามีและแม่สามีอย่างเต็มที่แล้ว การมีลูกสืบทอดตระกูลก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่ตนต้องรับผิดชอบนั่นล่ะ
“ข้าเรียกพวกเจ้ามาในตอนที่ยังออกมาข้างนอกได้ก็เพราะจะแจ้งเรื่องนี้นั่นล่ะ หลังจากนี้สามีข้าคงไม่อนุญาตให้ข้าออกมาข้างนอกเท่าไรแล้ว หากเป็นเช่นนั้นคงคิดถึงพวกเจ้าแย่”
“อย่าได้เสแสร้งมากเกิน อาเชี่ยนย่วน เจ้าน่ะอยากอวดพวกเราเสียมากกว่ากระมัง คิกคิก”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น เจ้าน่ะออกเรือนไปก่อนใครในกลุ่มเราเชียวนะ วันที่เข้าหอคราแรกเจ้าก็มาอวด วันที่สามีเจ้าเอาใจเจ้าก็มาอวด เหตุใดพวกเราจะไม่รู้กันเล่า! อาเอินเจ้าเห็นด้วยกับพวกข้าใช่ไหม?”
ลู่เอินนั่งมองสหายสนิทตอบโต้ไปมาก็สบายใจแล้วไฉนกลายเป็นตัวเองถูกคาดคั้นเสียได้
รอยยิ้มจืดเจื่อนของสหายคนเล็กสุดของกลุ่มทำหน้าตาลำบากใจ สตรีที่เหลือก็คิดตรงกันว่าควรเปลี่ยนเรื่องนั่นแหละ
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ข้าอยากรู้ยิ่งกว่าความเป็นไปของพวกเจ้าก็คือ ความรู้สึกของว่าที่สตรีที่กำลังจะออกเรือนอย่างลู่เอินต่างหาก เจ้าตื่นเต้นหรือไม่?”
ทว่าหัวข้อสนทนานี้กลับทำให้สตรีที่เหลือยกเว้นคนพูดหน้าเหวอไปตามๆกัน หากไม่ได้หรงผิงรีบกระซิบบอกเชี่ยนย่วนก็คงไม่รู้แน่ว่าเหตุใดบรรยากาศถึงเศร้าหมองลงตามรอยยิ้มที่หายไปของลู่เอินได้
ที่แท้ ลู่เอินน้อยของพวกนางก็เพิ่งถูกถอนหมั้นไปนี่เอง!...
“ข้าไม่ได้ออกเรือนกับคนผู้นั้นอีกแล้วล่ะ อยู่ดีดีเมื่อวานเขาก็ให้แม่สื่อมาถอนหมั้นเสียอย่างนั้น ทั้งที่เพิ่งตกลงสินสอดไปเพียงไม่ถึงสิบวันเท่านั้น เฮ้อ...”
ลู่เอินเป็นถึงบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของแม่ทัพใหญ่ไป๋ ผู้ชนะศึก ปกป้องบ้านเมืองมามากว่ายี่สิบปี ไฉนกลับอาภัพเรื่องบุรุษได้ หากนับครานี้ก็ถูกถอนหมั้นไปคราที่สามแล้ว
“อย่าได้เสียใจไปเลยอาเอินน้อย เจ้าอายุยังน้อยไว้หาสามีใหม่ก็ได้”
“ข้าพ้นวัยปักปิ่นมาปีกว่าๆแล้วนะ ปีนี้อีกไม่กี่เดือนก็เข้าสิบเจ็ดแล้ว พี่หลินซินออกเรือนตั้งแต่อายุสิบห้า มีบุตรชายคนแรกตอนอายุเข้าสิบหก ตอนนี้ยังเป็นพี่หรงผิงที่ออกเรือนตามไปอีก เหลือเพียงข้าแล้วที่ยังไม่ออกเรือน... หากเข้าสิบแปดก็กลายเป็นสาวเทื้อคงไม่มีใครต้องการแล้วล่ะ เฮ้อ”
“อย่าได้พูดเช่นนั้นเลย ในเมืองหลวงนี้อาเอินงามมิมีใครเกิน ข้าเชื่อว่าต้องมีคนต้องการเจ้าไปเป็นฮูหยินเอกมากมายแน่ คุณชายหลิงท่านนี้เองแหละที่วาสนาไม่ถึงน้องสาวน้อยของพวกเรา พวกเจ้าว่าไหม ว่าไหม”
ลู่เอินเบะปากทำหน้าอยากร้องไห้เรียกความสงสารทำให้สหายอีกสามคนรีบเอ่ยให้กำลังใจไม่ขาด รอจนลู่เอินกลับมามีอารมณ์คงที่จึงค่อยเอ่ยถามต่อ
“ว่าแต่เหตุใดตระกูลหลิงถึงได้เปลี่ยนใจปุบปับเช่นนั้น ลู่เอินรู้หรือไม่”
เจ้าตัวพยักหน้าหงึกๆก่อนเอ่ยตอบ
“รู้เจ้าค่ะ ท่านแม่บอกว่าทางตระกูลนั้นแจ้งว่า บุตรชายของพวกเขาไม่คู่ควรกับข้าน่ะเจ้าค่ะ เหตุผลเพียงเท่านี้เลย”
“ข้าว่าเหตุผลดูกำกวมสุดๆ ดูเป็นเหตุผลที่ไม่จริงใจอย่างไรมิรู้”
ตามจริงลู่เอินก็คิดเช่นกัน ตระกูลหลิงก็มีประมุขตระกูลเป็นถึงเสนาบดีเจ้ากรมฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง มิน่าใช้เหตุผลมิไม่ชัดเจนเช่นนี้ พอได้เหล่าสหายตรงหน้าคิดเช่นกันจึงตัดสินใจได้ทันที
“เช่นนั้นวันนี้ข้าขอลาพวกท่านพี่ไปก่อนนะ ข้ามีธุระต้องไปจัดการเร่งด่วนเจ้าค่ะ!”
ลู่เอินมีคติว่าหากสงสัยอันใดแล้วต้องหาคำตอบให้ได้ เช่นนั้นตอนนี้ร่างเพรียวบางว่องไวจึงรีบเดินทางไปดักรอที่หน้าจวนตระกูลหลิงทันใด
นางคือบุตรีของแม่ทัพใหญ่ย่อมเรียนวรยุทธ์และวิชาตัวเบามาแต่เด็ก ยามออกมาข้างนอกเพื่อเที่ยวทั่วไปนางยังพอเอาบ่าวรับใช้ติดตัวมาด้วย แต่เมื่อเป็นธุระที่ต้องใช้ความรวดเร็วฉับไวนางมักมาคนเดียวเช่นยามนี้
รอข้างหน้าจวนนานราวครึ่งชั่วยาม รถม้าจากข้างในเป็นคนที่ลู่เอินต้องการพบก็เคลื่อนออกมา รอจนพ้นจวนลู่เอินก็เดินออกมาจากมุมของตรอกให้สารถีเห็น
และรถม้าก็หยุดทันใด
“คะ คุณหนูรองไป๋ มะ มีธุระอันใดกับเจ้านายบ่าวหรือขอรับ”
บ่าวหน้าคุ้นเอ่ยเสียงตะกุกตะกักพร้อมเหล่มองเข้าไปข้างในห้องโดยสาร
“ข้าขอพบเจ้านายเจ้าเสียหน่อย”
“ข้ารีบไปธุระ ไว้คราหนะ...”
ลู่เอินไม่รอให้จบประโยค นางรีบกระโจนขึ้นรถม้า เข้าไปข้างในห้องโดยสารก็พบว่าคนเอ่ยปากปฏิเสธเมื่อครู่กำลังนั่งหน้าซีดอยู่
“ข้าเพียงต้องการทราบเหตุผลจริงๆที่ตระกูลของเจ้ามาถอนหมั้นเท่านั้น หากไม่บอกข้าจะประกาศโดยถ้วนทั่วว่าเจ้าแอบกินเต้าหู้ข้า!”
คำขู่ของลู่เอินได้ผลจนน่าใจหาย คุณชายหลิงรีบละล่ำละลักบอกทันใด
“วันก่อนหน้านั้นหนึ่งวันอยู่ดีดีก็มีคนจากวังหลวงมาพบพวกข้า อีกทั้งยังเอ่ยเตือนว่ามิควรไปยุ่งกับตระกูลไป๋หากมิอยากลบหลู่อำนาจคนในวัง ท่านพ่อก็ตัดสินใจไปถอนหมั้นเจ้าในวันถัดไป อย่าได้เอาเรื่องพวกเราเลยนะ!”
ลู่เอินเชื่อว่าสิ่งที่คุณชายหลิงพูดจริงเต็มสิบส่วน ที่น่าแปลกคือเหตุใดคนในวังต้องทำเช่นนั้นด้วย ในเมื่อตระกูลไป๋มิได้สนิทกับใครในวังหลวงเป็นพิเศษ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามาจากเจ้านายพระองค์ไหนในวังหลวง!”
ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าอย่างแรงแทน เมื่อเอ่ยถามอันใดไปก็ดูจะไม่สามารถไขข้อข้องใจได้มากกว่านี้ ลู่เอินจึงปล่อยพวกเขาไป...
ดูท่าเส้นทางการสร้างครอบครัวของนางจะไม่ง่ายอย่างที่ใจคิดเสียแล้ว
หากนับที่ตนถูกยกเลิกการหมั้นหมายจากอดีตองค์รัชทายาทเพราะฝ่ายนั้นถูกปลดอีกทั้งถูกไล่ไปนอกเมืองหลวง การที่นางถูกบอกเลิกการหมั้นหมายก็นับเป็นคราที่สามแล้ว หรือว่าชาตินี้นางจะไม่สามารถมีครอบครัวที่ดีอย่างที่มารดามีได้กันนะ...
