บทที่ 10 พิษกำเริบ
บทที่ 10
พิษกำเริบ
"พวกมันหนีไปได้ให้ตามไปหรือไม่ขอรับ"
ลู่คงเข้ามารายงาน ด้วยเวลานี้พวกเขาออกมาปฏิบัติภารกิจลับจึงมิต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ฐานะที่แท้จริง ทว่าเจียงเม่ยนั้นรู้ตัวตนของพวกเขาเสียแล้ว
เจียงเม่ยกังวลเหลือเกินจึงแสร้งเป็นลมในอ้อมกอดของหรงหมิงฮ่าว หวังยื้อเวลาให้กับคนของท่านลุงซ่ง หรงหมิงฮ่าวที่เห็นเช่นนั้นพลันขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกได้ว่าสตรีผู้นี้กำลังเล่นงิ้วกับเขา ด้วยการหายใจของนางนั้นมิใช่คนที่เป็นลมหมดสติ ดูท่าว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำเสียแล้วสิ
"ช่างเถอะ! อีกไม่นานพวกมันก็ต้องถูกกำจัดอยู่แล้ว"
"ขอรับ"
ใบหน้าคมที่ซ่อนในเงามืดยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดวงตาคู่คมก้มมองสตรีในอ้อมแขนพลันส่ายหน้าไปมา
"เห็นทีคงจะต้องพักที่นี่เสียก่อน"
"ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ"
ลู่คงลอบมองสีหน้าของชินอ๋อง ก่อนจะรีบไปจัดเตรียมที่นอนในวัดร้างแห่งนี้ให้กับเจ้านายและสตรีผู้นี้ มิรู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกได้ว่าท่านอ๋องทรงห่วงใยคุณหนูผู้นี้ชอบกล
เจียงเม่ยแสร้งสลบไปครู่ใหญ่ ก่อนที่นางจะค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองนอนอยู่บนเสื้อในห้องโถงของวัดร้าง โดยมีหรงหมิงฮ่าวนั่งพิงเสาอยู่ไม่ห่างจากนางนัก
"เอ่อ... ขะ ข้าขอขอบคุณท่านมากที่ได้ช่วยเหลือข้าเอาไว้เจ้าค่ะ"
เจียงเม่ยเอ่ยเรียกคนที่หลับตานิ่งอย่างไม่แน่ใจนัก นางรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์ตรงหน้าเหลือเกิน ทั้งไม่คาดคิดว่าเขาจะมาปรากฏกายเวลานี้ด้วย หากเป็นเส้นเรื่องเดิมนั้น นางจะได้พบพระรองผู้นี้หลังจากได้รีบเลือกให้เป็นพระชายาในองค์รัชทายาท ตอนนี้นางคงต้องแสร้งไม่รู้ตัวตนของเขาไปก่อน และทางที่ดีก็ไม่ควรให้เขารู้ว่านางคือผู้ใดด้วย
"ฟื้นแล้วหรือ เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่"
หรงหมิงฮ่าวหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหานาง ฝีเท้าของเขาช่างเงียบกริบนัก แทบจะไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากเขาเลย
"ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ต้องขอบคุณนายท่านที่ให้ความช่วยเหลือข้าเจ้าค่ะ" เจียงเม่ยลุกขึ้นคารวะด้วยความนอบน้อม
"ตอนแรกข้าก็คิดว่าได้ช่วยเหลือเจ้าด้วยความบังเอิญ ทว่าตอนนี้ข้าไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่าตนเองสอดมือเข้ามาไปยุ่งวุ่นวายหรือไม่"
เจียงเม่ยชะงักค้างด้วยความตะลึงงัน หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้นในทันที
"ทะ ท่านหมายความว่าอย่างไร"
เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ พลันผุดขึ้นตามกรอบใบหน้างาม หัวใจของนางเต้นระรัวด้วยกลัวว่าเขาจะจับได้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของนางทั้งสิ้น
"อย่างนั้นหรือ"
หรงหมิงฮ่าวปรายตาก้มมองเจียงเม่ยด้วยสายตาคาดคั้น ทว่าตัวนางก็ไม่คิดจะหลบเลี่ยงสายตาของเขาเช่นเดียวกัน หากหลบนางก็ยอมรับน่ะสิว่าทั้งหมดคือแผนการของนาง
"ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังคิดสิ่งใด แต่ขอให้ท่านโปรดหยุดความคิดนั้นเสีย"
"เจ้ารู้หรือว่าข้าคิดสิ่งใด"
เจียงเม่ยจ้องตากลับอย่างไม่ลดละ "ไม่รู้เจ้าค่ะ แต่คิดว่าคงเป็นเรื่องที่ท่านกำลังเข้าใจข้าผิดเป็นแน่"
"อืม... แล้วสำนักคุ้มภัยตระกูลซ่งเล่า เจ้ารู้จักหรือไม่"
หรงหมิงฮ่าวที่ไม่เคยแยแสผู้ใดกลับรู้สึกสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำกับเจียงเม่ย คราแรกเขาก็ไม่มั่นใจนัก แต่ดูจากท่าทีของนางเขาก็รู้แล้วว่าทั้งหมดนี้คงเป็นแผนการของนางเป็นแน่แท้ และจากที่เขาพบป้ายชื่อที่มีตราสัญลักษณ์ของตระกูลซ่งตกอยู่นั้น ก็แสดงให้เห็นว่านางกับตระกูลซ่งจะต้องมีความสัมพันธ์อันดีเป็นแน่
โจรป่าที่ใดกันจะพกป้ายชื่อของตนเองมาจับตัวคนกัน!
"ท่าน!"
หัวใจของเจียงเม่ยแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นว่าในมือของหรงหมิงฮ่าวถือสิ่งใดอยู่ นางอยากจะกัดลิ้นให้ตายเสียตรงนี้เลย หลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้ยังจะมีอะไรให้แก้ตัวอีกเล่า
"วางใจเถิด ข้าไม่ชอบสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น"
หรงหมิงฮ่าวอมยิ้ม ก่อนจะมอบป้ายชื่อคืนให้กับเจียงเม่ย ตัวเขารู้ดีว่าในบ้านของพวกเหล่าขุนนางนั้นน่ากลัวนัก กลอุบายใดบ้างที่เขาไม่เคยเห็น ในวังหลวงยังน่ากลัวกว่านี้เสียอีก ตราบใดที่เรื่องที่นางทำไม่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง เขาก็จะทำเป็นไม่สนใจเสีย
"ขอบคุณท่านที่เข้าใจ ความจริงแล้วข้าก็แค่อยากปกป้องตนเองจึงได้ซ้อนแผนการของศัตรู"
เจียงเม่ยรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหรงหมิงฮ่าวมิได้สนใจเรื่องของนางนัก
"เจ้าก็พักผ่อนเถิด วันพรุ่งข้าจะไปส่งเจ้าที่จวนเองและบอกว่าได้จัดการโจรพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว"
"ขอบคุณท่านมาก แต่ข้าขอให้ท่านไปส่งข้าที่จวนตระกูลซ่งได้หรือไม่เจ้าคะ"
"ย่อมได้!"
นี่สินะบทของพระรองผู้แสนดี เขาช่างเข้าใจสถานการณ์ของนางยิ่งนัก
ตกดึกคืนนั้นเจียงเม่ยที่นอนหลับสนิทพลันถูกปลุกโดยคนของหรงหมิงฮ่าว นางสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง
"คุณหนูได้โปรดช่วยนายท่านด้วยขอรับ ข้าน้อยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว จู่ ๆ พิษก็กำเริบขึ้นมาทั้งที่นี่เพิ่งจะผ่านมาวันที่ห้าเอง" ลู่คงมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
"เขาเป็นอะไรหรือ"
หลังจากหรงหมิงฮ่าวให้นางนอนพักที่ห้องโถงเพียงผู้เดียว นางก็ไม่พบเขาอีกเลยจนถึงตอนนี้ สายตาที่เริ่มคุ้นชินกับความมืด กอปรกับเปลวไฟที่อ่อนแสงลงพลันปรากฏเงาร่างของหรงหมิงฮ่าวที่นอนอยู่กับพื้นโดยมีหญ้าแห้งปูเอาไว้ องครักษ์อีกคนได้พยายามประคองร่างที่ไร้สติของหรงหมิงฮ่าว เจียงเม่ยเห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งตัวเข้าไปดูอาการของเขาทันที
"อ่า... ร้อน ร้อนเหลือเกิน อ๊า..."
น้ำเสียงทุ้มต่ำครางกระเส่าเสียงแหบพร่า ดวงตาคู่คมปรือขึ้นมองหน้าเจียงเม่ยด้วยความสับสน ในตอนนั้นเองที่เขาคว้าตัวนางเข้ามากอดแนบอก ลมหายใจอุ่นร้อนพลันรินรดใบหูเล็ก จนคนตัวเล็กขนกายลุกซู่ด้วยความขนลุกและจั๊กจี้
"ทะ ท่าน ปล่อยข้าก่อนเจ้าค่ะ แล้วนี่เขาเป็นอะไรกันแน่" นางเอ่ยถามลู่คงด้วยความสงสัย โดยที่ตนเองยังคงถูกเขากอดเอาไว้แน่น
"ข้าน้อยละอายแก่ใจนักที่ต้องบอกคุณหนูว่านายท่านถูกพิษบุปผารัญจวนขอรับ โดยปกติพิษนี้จะออกฤทธิ์ทุก ๆ ครึ่งเดือน และนี่เป็นครั้งที่สองที่พิษกำเริบ คราแรกนายท่านสามารถใช้ลมปราณขับพิษออกไปได้บางส่วน ทว่าครั้งนี้มิอาจทำได้แล้ว ยิ่งใช้ลมปราณก็มีแต่ทำให้ทรมานเพิ่มขึ้นไปอีก ข้าน้อยหมดหนทางแล้วจริง ๆ ขอรับ ตอนนี้จะไปหาสตรีจากหอนางโลมก็มิได้ คงมีแต่..." ลู่คงส่งสายตาไปทางเจียงเม่ยอย่างสื่อความนัย
"มะ หมายความว่าเจ้าจะให้ข้าช่วยขับพิษให้นายท่านของพวกเจ้าหรือ แล้วข้าต้องทำอย่างไรเล่า"
"เพียงแค่ให้นายท่านได้ปลดปล่อยน้ำพิสุทธิ์ก็ถือว่าขับพิษแล้วขอรับ"
"อะไรนะ!"
เจียงเม่ยแทบไม่อยากจะเชื่อหูตนเองว่าจะมาได้ยินอะไรเช่นนี้ นี่พวกเขาคิดจะให้นางร่วมรักกับท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ คิดว่านางเป็นนางคณิกาหรืออย่างไร
"ขะ ข้าน้อยไม่มีหนทางแล้วจริง ๆ ขอคุณหนูโปรดช่วยเหลือนายท่านด้วยขอรับ"
ลู่คงเอ่ยจบก็รีบลากสหายออกไปจากห้องโถงทันที พร้อมกับปิดประตูล็อกข้างนอกอย่างแน่นหนาเสียด้วย เจียงเม่ยเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ กับสถานการณ์ตรงหน้า นางเพียงแค่เปลี่ยนเนื้อเรื่องเพียงน้อยนิด ก็ทำให้ตนเองต้องมาตกที่นั่งลำบากถึงเพียงนี้เลยหรือ
"อ่า... ร้อนเหลือเกิน อื้อ... ร้อน"
เจียงเม่ยที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของหรงหมิงฮ่าวขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ลมหายใจกรุ่นร้อน และตรงส่วนนั้นที่ทิ่มแทงกับบั้นท้ายของตนนั้น แทบจะทำให้นางอ่อนระทวยภายใต้อ้อมแขนของเขาไปเสียแล้ว
ช่างอันตรายยิ่งนัก!
"ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ อื้อ..."
ริมฝีปากเล็กพลันถูกบดขยี้ด้วยริมฝีปากอันร้อนเร่าของหรงหมิงฮ่าว เขาจับใบหน้าของนางตรึงเอาไว้ไม่ให้ถอยหนี ก่อนจะสอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไปสำรวจความหอมหวานด้านใน ช่วงชิมรสสัมผัสอันหอมหวานนั้นด้วยความรู้สึกวาบหวาน มืออีกข้างที่ร้อนผ่าวก็ตรงเข้าจับบั้นท้ายของเจียงเม่ย ลูบคลึงจนนางยังเผลอครางกระเส่าด้วยความรู้สึกเสียวซ่านที่ปะทุขึ้นมา
"อ๊า... ข้าขอโทษ อึก!"
สติที่เคยพร่ามัวกลับมาแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง หรงหมิงฮ่าวรีบผลักร่างของเจียงเม่ยให้ออกไปราวกับแตะต้องของร้อน ก่อนที่เขาจะกระอักเลือดออกมาคำโต ร่างกายปวดระบมโดยเฉพาะตรงส่วนนั้นที่แทบจะระเบิดออกมา
