บทที่ 8 ศิษย์ร่วมสำนัก
“หนิงเอ๋อเข้าใจแล้ว” เซียนน้อยค้อมตัวลงเล็กน้อย ก่อนที่ท่านเทพแห่งชะตาจะปล่อยยิ้มเมตตาออกมา แล้วทูลลาองค์หญิงฟางเหนียงกลับออกไป สายตาอ่อนหวานของหนิงเอ๋อหันกลับมายังผู้ดูแลคนใหม่ ที่มีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด
“ไหนเจ้ามาใกล้ ๆ ข้าสิ” หนิงเอ๋อสบตากับฟางเหนียง แล้วตัดสินใจก้าวเท้าไปหาตามคำสั่ง
“หน้าตาเจ้า ช่างงดงามหมดจดยิ่งนัก” คำชมแลกิริยาอ่อนโยนขององค์หญิงฟางเหนียง แสดงออกถึงความเมตตาเซียนน้อยหนิงเอ๋ออย่างมาก
“อิงอิง” ฟางเหนียงหันมาเรียกสาวใช้คนสนิท ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เพคะ องค์หญิง”
“นับจากนี้ไป เจ้าช่วยสอนเซียนน้อยผู้นี้ ให้เข้าใจธรรมเนียมบนสวรรค์ นางจะอยู่ในความดูแลของเจ้า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น เจ้าต้องคอยปกป้องดูแลนางอย่าให้ทำผิดกฎ เข้าใจฤาไม่”
“เพคะ องค์หญิง” อิงอิงน้อมรับคำสั่ง ก่อนที่ฟางเหนียงจะหันกลับมายังนิงเอ๋อเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเบี่ยงตัวเดินจากไปพร้อมกลิ่นหอมของดอกงิ้ว
“หนิงเอ๋อ...เจ้าจงตามข้ามา” เสียงเรียกของอิงอิงทำให้หญิงสาวได้สติ ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามนางไป ระหว่างทางเดินไปวิมานของเหล่าเซียน หนิงเอ๋อสังเกตว่าตำหนักไท่จือมีเซียนรับใช้มากมายเดินไปมาขวักไขว่ หาได้เงียบเหงาอย่างที่คิดไว้
“หนิงเอ๋อ อาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง” คำถามของอิงอิงทำให้เซียนน้อยเลื่อนสายตามองอีกฝ่าย อย่างไม่เข้าใจความหมาย ก่อนอิงอิงจะหยุดก้าวเดิน แล้วหันมาด้วยใบหน้าราบเรียบ นางค่อย ๆ ล้วงเอาบางอย่างออกมา
“นั่นคือตราสัญลักษณ์ของสำนักหมิงเซียน อาจารย์บอกว่าตราสัญลักษณ์นี้ จะมอบให้ศิษย์ของสำนักหมิงเซียนทุกคน แล้วท่านมีตรานี้ได้อย่างไร....ฤาว่าท่าน..ท่าน...ก็เป็นศิษย์ของสำนักหมิงเซียน” ดวงตาเป็นประกายของหนิงเอ๋อ จับจ้องมองสัญลักษณ์นั้นด้วยความแปลกใจอย่างถึงที่สุด ก่อนอิงอิงจะน้ำเอ่อขึ้น
“ข้าเป็นศิษย์รุ่นที่เจ็ดของสำนักหมิงเซียน ครั้งแรกที่รู้ว่าเจ้ามาจากสำนักหมิงเซียน ข้าดีใจจนพูดไม่ออก นับจากข้าจากมา ไม่มีวันใดที่ข้าไม่คิดถึงอาจารย์” หนิงเอ๋อได้ฟังดังนั้น จึงรีบเข้าไปกอดนางทันทีด้วยความดีใจ
“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าจะได้เจอกับศิษย์ของสำนักหมิงเซียน ตลอดเวลาข้าไม่อยากมาแดนสวรรค์ ข้าอยากอยู่กับอาจารย์หญิงที่สำนักหมิงเซียน แม้ข้าจะอ้อนวอนขอร้องท่านเทพแห่งชะตา แต่ที่ในสุดแล้วไม่สำเร็จ” อิงอิงปล่อยให้เซียนน้อยกอดนางเช่นนั้นครู่หนึ่ง เพื่อระงับความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นภายในใจของนาง
“อาจารย์หญิงสบายดีใช่ฤาไม่” สายตาห่วงหาจากอิงอิง ทำให้หนิงเอ๋อเก็บน้ำตาไม่อยู่
“อาจารย์หญิงสบายดี แต่หลังจากพวกเรารุ่นเก้าขึ้นมาแดนสวรรค์แล้ว ทุกคนแยกย้ายไปคนละทาง ข้าไม่รู้ว่าจากนี้อาจารย์หญิงจะเป็นเช่นไรบ้าง”
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก หลังจากนี้ท่านเทพแห่งชะตาจะพาเด็กฝึกรุ่นสิบไปให้อาจารย์หญิงของพวกเราอบรมสั่งสอน ถึงตอนนั้นอาจารย์หญิงจะไม่เหงาอีกต่อไป” อิงอิงพูดปลอบแล้วดึงมือเซียนน้อยเดินตรงไปยังวิมานของเซียน
“ข้าเรียกท่านว่าศิษย์พี่อิงอิงได้ฤาไม่”
“อย่าเรียกข้าเช่นนั้น”
“เหตุใดจึงเรียกไม่ได้ ในเมื่อเราเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน” หนิงเอ๋อเอียงศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ
“ตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อขึ้นมาเป็นเซียนบนสวรรค์ เรื่องก่อนหน้าจะไม่มีใครยึดถือ ยังมีกฎระเบียบมากมายที่เจ้ายังต้องเรียนรู้ ดังนั้นแล้วเราสองคนควรเรียกกันอย่างปกติจะดีที่สุด” อิงอิงพูดจบจึงเก็บตราสัญลักษณ์กลับไป
“ข้าเข้าใจจุดประสงค์ของอาจารย์แล้ว ว่าทำไมศิษย์สำหนักหมิงเซียนทุกคน ต้องมีตราสัญลักษณ์ไว้ติดกาย นั่นเพราะอาจารย์ต้องการ ให้ศิษย์หมิงเซียนทุกคนรู้ว่ามาจากที่ใด อาจารย์เฝ้าสอนเสมอว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ต้องรักกันดังพี่น้อง มีอะไรให้ช่วยเหลือกัน เวลานี้หนิงเอ๋อรู้จุดประสงค์ของอาจารย์แล้ว” หญิงสาวพูดพร้อมสำนึกในเมตตาของอาจารย์หญิง
“ในตอนที่ข้าต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเจ้า ข้าเจ็บปวดและเฝ้าคิดถึงอาจารย์ทุกวัน ต่างกันตรงที่ตอนนั้นข้าต้องอยู่ลำพัง ไม่มีใครคอยชี้แนะ แต่เจ้าอย่าลืม ว่าตอนนี้เจ้ามีข้าอยู่ทั้งคน”
“หนิงเอ๋อจะเชื่อฟังพี่อิงอิง” เซียนน้อยกล่าวออกมาด้วยสายตามุ่งมั่น พร้อมมือของอิงอิงจะจูงนางตรงไปยังวิมานเซียน เพื่อเดินชมจุดต่าง ๆ อันกว้างใหญ่ภายในอาณาเขตของตำนักไท่จือ ภายใต้ความเป็นศิษย์สำนักหมิงเซียน ทำให้นิสัยของนางทั้งสอง คล้ายกันโดยไม่ต้องพยายาม อิงอิงพาหนิงเอ๋อเดินชมตำหนักไท่จือจนทั่ว พร้อมกับเล่าเรื่องราว ๆ ต่างเกี่ยวกับองค์หญิงฟางเหนียงให้หนิงเอ๋อรับรู้ เพื่อนำไปปรนนิบัติดูแลฟางเหนียงได้อย่างถูกหลัก
“บนสวรรค์มีกฎเกณฑ์มากมาย เจ้าต้องค่อย ๆ เรียนรู้ไปทีละน้อย แต่ไม่ต้องกลัวองค์หญิงฟางเหนียงเป็นคนจิตใจดี เจ้าจะอยู่รับใช้นาง ได้อย่างมีความสุขแน่นอน” หนิงเอ๋อพยักหน้ารับรู้ หากแต่ดูเหมือนอิงอิงจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางชะงักนิ่งพลันทอดสายตาไปยังดวงดาวด้านบน
