ครอบครัวปู่เล็ก
"แม่จ๋าปู้ปู้ปายด้วย ฮึก ห้ายปู้ปู้ปายด้วยน๊า~"
หลังจากกลับมาถึงบ้านซูอี้กับลี่จูก็รีบเตรียมตัวเข้าเมืองตามที่ตั้งใจเอาไว้ ติดก็ตรงเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งกอดขาแม่จ๋าของเธอไม่ยอมทิ้งห่างไปไหน
"แม่จ๋าขอเข้าไปทำธุระแป้บเดียวจ้ะ พู่พู่รอแม่จ๋าอยู่กับปู่ย่าได้ไหมเด็กดี เดี๋ยวแม่จ๋าจะซื้อนมอัดเม็ดมาฝากดีไหมจ๊ะ"
"อักเม็กหย๋อ จริงน๊าแม่จ๋า อักเม็กหย่อยม้ายแม่จ๋า~"
แม้เด็กหญิงตัวน้อยจะอยากไปทำธุระกับพ่อและแม่ของตนเองมากแค่ไหน แต่เมื่อแม่จ๋าของเธอมีข้อเสนอที่น่าสนใจมีหรือที่เธอจะปฏิเสธ อย่างไรเสียพ่อจ๋าของเธอก็ต้องพาแม่จ๋ากลับมาหาเธอแน่ ๆ
"นมอัดเม็ดอร่อยมากจ้ะ แม่จ๋าสัญญาว่าจะรีบไปรีบกลับ ขอแม่จ๋าไปเตรียมตัวแป้บนึงนะลูก"
ลี่จูพูดกับเด็กหญิงตัวน้อยพลางลูบหัวพู่พู่เบา ๆ อย่างทะนุถนอม เธอเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงชั่วข้ามคืนก็เริ่มหลังรักเด็กน้อยตรงหน้าเสียแล้ว
"ปู้ปู้ปายด้วย ปู้ปู้อยากอยู่กะแม่จ๋า~"
"พู่พู่ ลูกมาหาพ่อเร็วเข้า ให้เวลาแม่จ๋าเตรียมตัวหน่อยลูก"
เมิ่งซูอี้เห็นว่าลูกสาวตัวติดลี่จูไม่ยอมห่างจึงช่วยพูดอีกแรง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยส่ายหน้าหวือพร้อมกับเกาะขาแม่จ๋าของเธอแน่นกว่าเดิม
"หื่อ~ ม่ายอาว~"
"งั้นเราเข้าไปเตรียมตัวด้วยกันก็ได้จ้ะ พู่พู่เด็กดีเชื่อฟัง แม่จ๋าจะทำของอร่อยให้กินเยอะ ๆ เลยดีไหมจ๊ะ อึบ เดี๋ยวหนูดูลูกเองก็ได้จ้ะพี่ซูอี้"
ท้ายที่สุดลี่จูก็ต้องยอมแพ้ให้กับสายตาแป๋วแหววของหนูน้อยที่มองเธอด้วยสายตาอ้อนวอน ร่างเล็กจ้อยถูกอุ้มขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน เมื่อเห็นว่าแม่จ๋าอุ้มตนเองหนูน้อยก็ยิ้มจนแก้มแทบแตก เห็นไหม แม่จ๋าของพู่พู่น่ารักที่สุด ใจดีที่สุด พู่พู่รักแม่จ๋าที่สุด
"แม่จ๋าดีตี้ฉุด ปู้ปู้ยักแม่จ๋าตี้ฉุด จุ๊บ~ จุ๊บ~"
"ว๊า~ มีแต่คนรักแม่จ๋า ไม่มีใครรักพ่อจ๋าเลย"
ซูอี้เห็นลูกสาวตัวน้อยปากหวานเอาใจแม่จ๋าก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งทำเป็นน้อยใจเพื่อดูว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะมีปฏิกิริยาเช่นไร
"โอ๋ ๆ ปู้ปู้ยักพ่อจ๋าเหมืองกัง อยู่กะป้อจ๋านางแย้ว ขอปู้ปู้อยู่กะแม่จ๋าหน่อยน๊า~"
"ฮะ ฮะ ฮะ พ่อจ๋าไม่ได้โกรธหนูหรอกลูก ไม่ว่ายังไงพ่อจ๋าก็รักหนูที่สุด"
"เอิ๊ก เอิ๊ก ยักปู้ปู้ตี้ฉุด เอิ๊ก เอิ๊ก~"
เสียงหัวเราะของเด็กหญิงตัวน้อยเป็นยาขนานหนึ่งที่หล่อเลี้ยงทุกดวงใจของคนในบ้านหลังนี้ สองผู้เฒ่าที่เฝ้ามองลูกหลานอยู่ด้านนอกก็เบาใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าทุกคนเข้ากันได้ดี เหลือก็แต่เรื่องว่าความในวันพรุ่งนี้ทุกอย่างก็ถือว่าเข้าที่เข้าทางแล้ว
หลังจากที่ลี่จูเข้าไปเตรียมตัวในห้องพร้อมกับพู่พู่ตัวน้อย เธอก็ต้องเอาช็อกโกแล็ตออกมาให้เด็กน้อยกินอีกหนึ่งชิ้นเพื่อเป็นการปลอบใจ โชคดีที่เด็กหญิงตัวน้อยยอมเชื่อฟังและเก็บไว้เป็นความลับระหว่างทั้งคู่ ก่อนที่พ่อและแม่จะออกจากบ้านไป เมิ่งพู่พู่ก็โบกไม้โบกมือลาทั้งคู่ด้วยแววตาละห้อย นั่นยิ่งทำให้ลี่จูกับซูอี้เร่งฝีเท้าในการเดินให้เร็วยิ่งขึ้น
"คุณเดินไหวไหม? เดินอีกซัก 2 กิโลเราก็ถึงหมู่บ้านของปู่เล็กแล้ว อยากพักสักหน่อยไหม"
ลี่จูที่ได้ยินคำแทนตัวที่ซูอี้ใช้เรียกตนก็ได้แต่คิดในใจว่า อีกแล้ว พอไม่มีใครอยู่ด้วยก็เรียกเธอห่างเหินแบบนี้อีกแล้ว
"ไหวค่ะ พี่ซูอี้เรียกหนูว่าลี่จูก็ได้นะคะ อย่าเรียกว่าคุณเลย มันดูแปลก ๆ ยังไงไม่รู้"
"เอ่อ เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่มีบางอย่างที่ผมอยากจะบอกกับลี่จูเอาไว้ ถ้าวันหนึ่งลี่จูเจอคนที่ชอบขอให้บอกผมทันที ผมยินดีจะคืนอิสระให้ลี่จู ผมรู้ว่าเรื่องระหว่างเราอยู่ในสถานการณ์จำยอม ผมไม่ต้องการที่จะบังคับฝืนใจใคร ฉะนั้นระหว่างที่เราอยู่ด้วยกันผมจะไม่ล่วงเกินอะไรลี่จู ขอให้ลี่จูสบายใจได้"
"พี่ เวลาที่พี่ซูอี้พูดกับหนูแทนตัวว่าพี่ได้ไหมคะ อีกอย่างหนูรู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันเร็วเกินไป ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปก็ได้ หนูไม่คิดจะเปลี่ยนใจแน่นอน ยังไงตอนนี้หนูก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของพี่แล้ว"
"แต่พี่มีแต่ตัว อนาคตไม่แน่ว่าจะทำให้ลี่จูสุขสบายได้รึเปล่าที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายธรรมดาคนนี้"
"มันเป็นเรื่องของอนาคตค่ะ หนูต้องหาหนทางที่จะช่วยให้ครอบครัวของเราลืมตาอ้าปากได้ ขอแค่พวกเราช่วยกัน หนูเชื่อว่าทุกอย่างต้องดีขึ้นแน่นอนค่ะ"
ซูอี้มองเด็กสาวตรงหน้าอย่างใช้ความคิด แปลกที่เธออายุเพียง 18 ปี แต่กลับมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ หรืออาจจะเป็นเพราะเธอถูกบ้านเดิมกดขี่ข่มเหงมานานจึงทำให้เธอค่อนข้างที่จะมีความคิดความอ่านและความอดทนเหมือนผู้ใหญ่เกินกว่าอายุของเธอ
"ตกลง เอาแบบนั้นก็ได้ เราจะช่วยกันทำให้ครอบครัวของเราดีขึ้นและเรียนรู้กันไปในเวลาเดียวกัน"
เป็นครั้งแรกที่หัวใจเปลี่ยวเหงาของทั้งคู่รู้สึกอบอุ่นขึ้น ตลอดเส้นทางที่ต้องเดินลัดเลาะไปตามชายป่าที่มีแสงแดดส่องรำไร แต่ลี่จูกลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยสักนิด บางจุดที่พื้นลาดชันซูอี้ก็ช่วยประคองลี่จูอีกแรง กระทั่งถึงชานหมู่บ้านเซียงซุนที่ปู่เล็กของซูอี้อาศัยอยู่
"ปู่เล็กครับ มีใครอยู่ไหมครับ?"
ทันทีที่ซูอี้เดินมาถึงหน้าบ้านของปู่เล็กเมิ่งหยวน ผู้อาวุโสของตระกูลเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ชายหนุ่มก็รีบส่งเสียงเรียกบุคคลที่อยู่ภายในให้ออกมาที่หน้าบ้านเพื่อพูดคุยธุระของตน
"นายท่านอยู่ในบ้านครับ เดี๋ยวผมไปตามมาให้ รอสักครู่นะครับ"
คนงานในบ้านเป็นคนแรกที่เดินออกมาดูผู้มาเยือน เมื่อเห็นว่าเป็นหลานของนายท่านของบ้านก็รีบเปิดประตูรั้วให้เข้ามานั่งรอด้านในก่อน
"ครับ รบกวนด้วยนะครับคุณลุง"
"ไม่รบกวนครับ ไม่รบกวน"
พูดจบชายสูงวัยก็เดินเข้าไปตามผู้เป็นเจ้านายที่อยู่ในบ้านอย่างรวดเร็ว ด้วยว่าเขาทำงานอยู่บ้านนี้มานานหลายปีจึงพอจะรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร
"นั่นใครล่ะ ซูอี้เรอะ มา ๆ เข้ามาก่อน ไม่เจอกันนานเลยนะ แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ เข้ามาก่อนเร็วเข้า ปู่เล็กกำลังออกมาแล้ว"
เมิ่งหมิงที่มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของเมิ่งฉือ(พ่อของซูอี้) เป็นคนแรกที่เดินออกมาจากตัวบ้าน นานนับปีแล้วที่เขาไม่ได้เจอครอบครัวของซูอี้ ทั้งที่หมู่บ้านอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่กิโลเมตร ด้วยความที่เมิ่งฉือและภรรยาเป็นคนที่เจียมเนื้อเจียมตัวและอยู่แต่ในที่ของตนเอง ถึงครอบครัวของเมิ่งหมิงจะพอมีฐานะในระดับหนึ่งแต่พ่อเฒ่าเมิ่งฉือก็ไม่คิดที่จะขอความช่วยเหลือจากญาติผู้น้องเลยสักครั้ง
ลี่จูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซูอี้จ้องมองดูบ้านหลังนี้ก็อดแปลกใจกับความแตกต่างระหว่างบ้านของสามีกับบ้านของปู่เล็กไม่ได้ ทั้งคนที่เดินออกมาทักทายพวกเขายังแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีที่ได้รับการตัดเย็บอย่างประณีต รวมถึงบ้านที่คาดว่าจะใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ทั้งยังมีรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ บ่งบอกถึงสถานะทางการเงินที่น่าจะสะพัดคล่องตัวและมีฐานะพอสมควร
"สวัสดีครับคุณอา นี่ลี่จูภรรยาของผมครับ ลี่จูนี่คุณอาเมิ่งหมิง เป็นลูกชายของปู่เล็ก"
ซูอี้รีบทำหน้าที่แนะนำให้ภรรยาได้รู้จักกับญาติผู้ใหญ่ของตนเอง
"สวัสดีค่ะคุณอา เจอกันครั้งนี้ฉุกละหุกเกินไปเลยไม่มีของติดไม้ติดมือมาฝาก ไว้ครั้งหน้าหนูจะแก้ตัวใหม่นะคะ"
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า พูดอะไรแบบนั้นอาลี่จู แค่หลาน ๆ มาให้เห็นหน้าก็ดีแค่ไหนแล้ว ขอแค่แวะมาหาพวกเราบ่อย ๆ ก็พอแล้ว ส่วนของฝากไม่ต้องคิดมาก ที่นี่ไม่ได้ขาดเหลืออะไร มีแต่คนแก่บางคนที่บ่นคิดถึงหลาน ๆ นี่ถ้าพ่อรู้ว่าอาซูอี้พาภรรยามาหาคงดีใจน่าดู"
เมิ่งหมิงรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวตรงหน้าไม่น้อย แม้ตามร่างกายของลี่จูยังคงมีรอยฟกช้ำหลงเหลือให้เห็น แต่เขาก็เลือกที่จะไม่เอ่ยปากถามและรอจนกว่าหลาน ๆ จะเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง เพราะนิสัยของครอบครัวเมิ่งซูอี้เป็นประเภทที่ถ้าไม่ถึงที่สุด จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากใคร
"นินทาพ่อเรอะ! เจ้าหมิง"
เสียงของปู่เล็กเมิ่งหยวนดูน่าเกรงขามและทรงพลังอยู่ในที ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่แต่บัดนี้กลับหลังโค้งงอไปตามกาลเวลาที่ล่วงเลยจนต้องใช้ไม้เท้าค้ำและยังมีหลานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มช่วยประคองเดินออกมาจากบ้านอีกแรงหนึ่ง
"เปล่านะครับพ่อ ผมก็แค่พูดคุยกับหลานไปตามประสา นั่งก่อนครับนั่งก่อน ดูสิมาคราวนี้อาซูอี้พาหลานสะใภ้มาคำนับพ่อด้วยนะครับ"
พูดจบเมิ่งหมิงในวัย 40 ปลาย ๆ ก็รีบเดินไปประคองบิดาของตนให้มานั่งลงที่เก้าอี้เพื่อพูดคุยกับหลานชาย
"สวัสดีครับปู่เล็ก ปู่สบายดีไหม? นี่ลี่จูภรรยาของผมครับ"
"สวัสดีค่ะคุณปู่"
ลี่จูรีบทำความเคารพผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้า ทางด้านผู้เฒ่าเมิ่งหยวนก็จ้องมองหลานสะใภ้อย่าพินิจพิจารณา นัยน์ตาของหญิงสาวดูลึกลับเหมือนซ่อนเรื่องราวบางอย่างเอาไว้ แต่ผู้เฒ่าเมิ่งหยวนก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ขอเพียงแค่เด็กสาวคนนี้ไม่ทำให้ซูอี้ต้องเดือดเนื้อร้อนใจก็เพียงพอแล้ว
"สวัสดี ๆ ปู่สบายดีตามประสาคนแก่ ว่าแต่วันนี้ที่มามีเรื่องอะไรอยากให้ปู่ช่วยรึเปล่า จำคำที่ปู่เคยบอกได้ไหมอาซูอี้ มีเรื่องอะไรต้องบอกปู่ อย่าปล่อยให้คนพวกนั้นรังแก เชื่อเถอะว่าปู่มีทางช่วยหลานแน่นอน"
"ผมอยากรบกวนให้ปู่เล็กช่วยไปเป็นพยานในการทำหนังสือสัญญาระหว่างทั้งสองบ้านให้หน่อยครับ"
ใบหน้าของผู้เฒ่าเมิ่งหยวนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก ในเมื่อตอนที่บ้านรองแยกบ้านออกมาท่านก็เป็นคนจัดการกับบ้านหลักให้เรียบร้อยแล้ว
"สัญญาอะไรเรอะ?"
เมิ่งซูอี้เริ่มเล่าเรื่องการจ่ายเงินเดือนให้กับบ้านหลักรวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลี่จูให้ปู่เล็กของเขาฟังทั้งหมด เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้เฒ่าเมิ่งหยวนก็โมโหจนตัวสั่นแต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้
"เอาเถอะ พรุ่งนี้ปู่จะไปตามเวลาที่นัดหมาย ว่าแต่กินอะไรมารึยัง อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหมลูก"
"นั่นสิ อาสะใภ้ของนายกำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัวกับแม่บ้าน กินมื้อเที่ยงด้วยกันก่อนค่อยกลับนะ"
เมิ่งหมิงรีบพูดเสริมบิดาอีกแรง เป็นเวลาเดียวกับที่ภรรยาของเขาเดินออกมาจากครัวพอดี
"อาซูอี้ ไม่เจอกันนานเลยนะลูก แล้วสาวน้อยคนนี้เป็นใครกันจ๊ะ"
เมิ่งซิงอีทักทายหลานชายอย่างเป็นกันเองพร้อมกับหันไปมองหน้าสาวน้อยที่อายุไม่ต่างจากลูกสาววคนเล็กของเธอสักเท่าไหร่ด้วยสายตาอ่อนโยนและเป็นมิตร
"สวัสดีครับอาสะใภ้ นี่ลี่จูภรรยาของผมครับ"
"สวัสดีค่ะอาสะใภ้"
"สวัสดีจ้ะ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเชียว อายุน่าจะพอ ๆ กับถิงถิงใช่ไหมจ๊ะ"
ซิงอีพูดกับลี่จูพร้อมกับหันไปทางลูกสาวคนเล็กของตนที่นั่งอยู่ข้างพ่อสามี
"หนูอายุ 18 ปีค่ะ แล้วน้องสาวอายุเท่าไหร่จ๊ะ"
"ถิงถิงอายุ 16 ปีค่ะพี่สะใภ้"
เมิ่งถิงถิงที่นั่งเงียบอยู่นานรีบตอบกลับพี่สาวคนสวยเมื่อมีโอกาส แม้เธอจะอยากทักทายพี่สาวคนสวยอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่กล้าขัดจังหวะผู้ใหญ่คุยธุระกัน
"สวัสดีจ้ะถิงถิง"
หลังจากนั้นสาว ๆ ก็พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่ซูอี้กับลี่จูจะขอตัวเข้าเมืองเพื่อไปทำธุระ ครั้นเมิ่งหมิงจะให้คนงานไปส่งทั้งคู่ก็ไม่ยอม ท้ายที่สุดซูอี้จึงต้องใช้จักรยานของบ้านปู่เล็ก ตอนกลับค่อยแวะคืนรถอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่ยอมเป็นแน่
"พ่ออย่าเป็นกังวลใจไปเลยครับ พรุ่งนี้ผมจะไปช่วยพ่ออีกแรงหนึ่งดีไหม?"
เมิ่งหมิงเอ่ยกับบิดาที่มองตามหลานชายและหลานสะใภ้ด้วยความเป็นกังวลจนทั้งคู่ปั่นจักรยานไปพ้นระยะสายตา
"อาหมิง ถ้ามีอะไรที่เราพอจะช่วยครอบครัวอาฉือได้ลูกก็ต้องช่วยรู้ไหม ถ้าพ่อรู้เรื่องเร็วกว่านี้พ่อคงจัดการไปแล้ว"
ผู้เฒ่าเมิ่งหยวนรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยหลานชายให้เร็วกว่านี้ได้ พลางนึกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของพี่ชายที่สั่งเสียเอาไว้ก่อนตาย ว่ายังไงก็ฝากให้น้องชายช่วยดูแลลูกชายคนเล็กที่เป็นลูกที่เกิดจากภรรยาอีกคน กว่าเมิ่งหยางพี่ชายของตนจะรู้ว่าเลี้ยงเมิ่งคุนมาแบบผิด ๆ ก็สายเกินไปเสียแล้วที่จะแก้ไข
"ผมจะทำให้เต็มที่ครับ แต่ยังไงก็ต้องดูว่าพี่ฉือกับพี่สะใภ้และหลาน ๆ จะยอมให้พวกเราช่วยเหลือมากน้อยแค่ไหน"
"อื้อ เรื่องนั้นพ่อเข้าใจ ขอแค่เราทำเต็มที่แล้วก็พอ"
