บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 รอการมาเยือน

จวนผิงกั๋วกงตั้งอยู่ในตรอกสุ่ยอันของเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเยียน ภายในตรอกสุ่ยอันแห่งนี้มีจวนขุนนางตำแหน่งสูงตั้งอยู่หลายจวน จวนขุนนางที่มีตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันซับซ้อนมากมายภายในเรือนหลังของจวน ยิ่งตำแหน่งสูงมากก็ยิ่งมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนภายในจวนมากยิ่งขึ้น แต่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนและยุ่งเหยิงดังเช่นจวนขุนนางจวนอื่น อาจจะเป็นเพราะผู้คนภายในจวนไม่มากอีกทั้งยังมีการปกครองภายในจวนอย่างเข้มงวดผู้คนภายในจวนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุข

เฉินเจียวเจียวอยู่ในจวนแห่งนี้ในฐานะคุณหนูใหญ่ นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของผิงกั๋วกงและหลินซื่อ มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉิน ส่วนเฉียวซื่อผู้เป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ของบิดาก็นับว่าเป็นมารดาเลี้ยงที่ดีพอสมควรเพียงแต่ระหว่างพวกนางสองคนไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตอนที่เฉียวซื่อแต่งเข้ามาเฉินเจียวเจียวก็โตมากแล้วอีกทั้งยังมักจะอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้คนทั้งคู่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน

บ้านรองและบ้านสามนั้นก็อยู่กันอย่างปรองดอง อาสะใภ้ทั้งสองของเฉินเจียวเจียวต่างเป็นสตรีที่ชอบเก็บตัว อาสะใภ้รองหวงซื่อชื่นชอบดนตรีและบทกวีนางมักจะหมกตัวอยู่ในเรือนของตนทั้งบรรเลงพิณและร่ายบทกวีอยู่แต่ในเรือนของตนอย่างมีความสุข ลูกของบ้านรองมีสามคนเป็นชายสองหญิงหนึ่งซึ่งแต่ละคนล้วนได้รับความเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งเป็นท่านย่าของพวกเขา

เฉินเจียวมี่คือคุณหนูสามของจวนสกุลเฉินคือบุตรสาวจากบ้านรองมีอายุอ่อนกว่าเฉินเจียวเจียวถึงสองปีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตนอีกทั้งยังน่ารักสดใสเป็นที่รักและเอ็นดูของทุกคนภายในจวนรวมทั้งเฉินเจียวเจียว ส่วนพี่ชายทั้งสองจากบ้านรองทั้งเฉินเจียวลู่และเฉินเจียวโจวในยามนี้ต่างก็ติดตามพี่ชายคนโตของนางเฉินเจียวจ้านไปเข้าร่วมกองทัพกับบิดาที่ชายแดน

ส่วนทางอาสะใภ้สามโม่ซื่อของเฉินเจียวเจียวกลับตรงกันข้ามนางเป็นหลงใหลในการต่อสู้ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนกับอนุทั้งสามของท่านอาสามของเฉินเจียวเจียว โม่ซื่อมีบุตรสาวเพียงคนเดียวมีนามว่าเฉินเจียวเหม่ยเป็นคุณหนูรองของจวนสกุลเฉินจากบ้านสาม

เฉินเจียวเหม่ยมีอายุอ่อนกว่าเฉินเจียวเจียวเพียงไม่กี่เดือนทั้งสองเป็นทั้งไม้เบื่อไม้เมาและสหายกันในบางครั้ง พวกนางทั้งสองมักชิงดีชิงเด่นกันเองยามที่อยู่ในจวน แต่กลับเข้าขากันดีและมักจะร่วมมือกันจัดการผู้อื่นในยามที่อยู่นอกจวน แม้ว่าจะดูเหมือนไม่ค่อยชอบกันนักแต่แท้จริงแล้วสำหรับเฉินเจียวเจียวนั้นเฉินเจียวเหม่ยเป็นทั้งสหายและญาติผู้น้องที่ไว้ใจได้ อย่างน้อยยามนี้เฉินเจียวเจียวก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเฉินเจียวเหม่ยจึงได้เกลียดชังหลินชิงเหมยมาโดยตลอด

“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นหรือยังเจ้าคะ” เสียงร้องเรียกที่หน้าประตูของตงผิงทำให้เฉินเจียวเจียวพลันได้สติขึ้นมาในที่สุด นางค่อยๆ ขยับตัวถอยออกมาจากบานหน้าต่างแล้วหันไปเอ่ยยังทิศทางที่ตงผิงยืนอยู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ข้าตื่นแล้ว เข้ามาเถอะ” เมื่อนางเอ่ยจบประโยคทั้งตงผิงและตงชิงก็เดินเข้ามาในห้อง พวกนางทั้งสองต่างมองไปที่หน้าต่างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายตงผิงรับเดินตรงไปปิดบานหน้าต่างเอาไว้ในทันทีส่วนตงชิงก็เอ่ยกับเจ้านายเสียงเบา

“เหตุใดจึงเปิดหน้าต่างเล่าเจ้าคะ ข้างนอกอากาศหนาวมากหากคุณหนูต้องลมเย็นมากเข้าระวังจะล้มป่วยนะเจ้าคะ” คำพูดของตงชิงทำให้เฉินเจียวเจียวยิ้มออกมา

“ข้าไม่เป็นอันใดหรอก มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย ก็เลยอยากทำให้ตนเองสดชื่น” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางเดินไปนั่งลงบนที่นอนของตนเองและมองสาวใช้ช่วยกันจัดเตรียมข้าวของเพื่อเอาไว้ปรนนิบัตินางล้างหน้าและบ้วนปาก

“นี่ไม่ใช่แค่เพียงต้องการความสดชื่นธรรมดาแล้วกระมังเจ้าคะ เนื้อตัวเย็นเฉียบจนถึงขั้นนี้ คุณหนูมีเรื่องไม่สบายใจอันใดหรือเปล่าเจ้าคะ” ตงผิงเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สบายใจเมื่อสัมผัสพบไปความเย็นบนเนื้อตัวของเฉินเจียวเจียว แต่เฉินเจียวเจียวกลับยิ้มออกมาแล้วบอกกับสาวใช้ของตนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ข้าสบายดีพวกเจ้าไม่ต้องกังวลหรอก” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้สาวใช้ทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดออกมาอีกพวกนางช่วยปรนนิบัติเฉินเจียวเจียวล้างหน้าบ้านปากผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและจัดแต่งทรงผม เมื่อทำเสร็จก็ได้เวลาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่โถงกลางของเรือนฝูอันแล้ว

ยามที่เฉินเจียวเจียวเดินเข้าโถงกลางก็พบว่าเฉียวซื่อมาถึงก่อนแล้วนางจึงส่งยิ้มให้มารดาเลี้ยงของตนเล็กน้อยแล้วจึงได้หันไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและมารดาเลี้ยงตามลำดับ ยังไม่ทันได้พูดคุยอันใดกันหวงซื่อและโม่ซื่อก็พาคนจากบ้านรองและบ้านสามเข้ามาคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“อันที่จริงอากาศหนาวเย็นจนถึงขั้นนี้พวกเราไม่ต้องมากพิธีกันก็ได้ ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนๆ คนในจวนของพวกเรามีน้อยยิ่ง มิสู้ต่างอยู่ในเรือนของตนไม่ต้องเดินฝ่าอากาศหนาวมาที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้โม่ซื่อก็พลันส่ายหน้า

“สำหรับข้าแล้วการเดินมาที่นี่ในยามเช้าก็ไม่ได้ลำบากอันใดเจ้าค่ะ แถมเมื่อคารวะท่านแม่เสร็จแล้วข้ายังได้ฝากท้องกินอาหารเช้ากับท่านแม่ที่นี่ด้วย ทั้งสะดวกและอิ่มท้องข้าขอมาคารวะยามเช้าท่านแม่เช่นนี้ทุกวันดีกว่าเจ้าค่ะ” คำพูดของโม่ซื่อทำให้หวงซื่อและเฉียวซื่อหันไปสบตากันแล้วยิ้มออกมา พวกนางสองคนชินเสียแล้วกับคำพูดอันตรงไปตรงมาของน้องสะใภ้จากบ้านสามผู้นี้ มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่คุ้นชินกับลูกสะใภ้ที่ชอบพูดจาโผงผางและตรงไปตรงมาเช่นนี้

“แทนที่จะพูดว่าอยากมาที่นี่เพื่อแสดงความกตัญญู แต่เจ้ากลับบอกว่ามาที่นี่เพราะอยากมากินข้าวที่เรือนข้า แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงแต่เจ้าช่วยเลือกสรรถ้อยคำที่จะทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้ไม่หรือไม่ เจ้านี่นะ…ช่างโชคดียิ่งนักที่เหม่ยเอ๋อของข้าไม่ได้เป็นเช่นเจ้า” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็ย่อกายทำท่าคารวะขออภัยแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าอย่างอ่อนหวาน

“จริงๆ แล้วท่านแม่ก็แค่อยากให้ท่านย่าอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น มีลูกหลานนั่งกินข้าวพร้อมหน้าท่านย่าน่าจะเจริญอาหารดีมากยิ่งขึ้นนะเจ้าคะ”

“ยังคงเป็นเจ้าที่เข้าใจพูด เอาเถอะๆ พวกเราไปที่โต๊ะอาหารกันดีกว่า ได้กินมื้อเช้าร่วมกันเช่นนี้ทุกวันก็ทำให้ข้าเจริญอาหารมากขึ้นจริงๆ นั่นแหละ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางเดินนำลูกสะใภ้และหลานสาวไปรับมื้อเช้าร่วมกันด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

หลังจากกินมื้อเช้าร่วมกันเสร็จพวกนางก็มานั่งจิบชาช่วยย่อยด้วยกันอยู่ครู่หนึ่งทั้งเฉียวซื่อ หวงซื่อและโม่ซื่อก็ขออำลากลับเรือนโดยมีบุตรสาวของพวกนางติดตามกลับเรือนไปด้วย เหลือเพียงเฉินเจียวเจียวที่อาศัยอยู่ภายในเรือนเดียวกันกับฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่เด็กจวบจนป่านนี้นางก็ไม่คิดจะแยกเรือนออกไปไหน ด้วยคิดว่าอีกไม่กี่ปีหลานสาวผู้นี้ก็จะแต่งงานออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ได้ให้นางย้ายออกไปด้วยคิดว่าอยู่ร่วมกันเช่นนี้ก็อบอุ่นดี

“วันนี้ญาติจากสกุลหลินของเจ้าส่งเทียบมาขอเยี่ยมเยียนข้าที่จวนข้าตอบรับเทียบเชิญพวกเขาไปแล้ว เจ้าเองก็รอพบพวกเขาอยู่กับข้านี่แหละ อันที่จริงแล้วคนที่พวกเขาอยากจะมาเยี่ยมก็คงจะเป็นเจ้า” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้าพลางขานรับออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“เจ้าค่ะ” แล้วนางก็ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบเพื่อปิดบังสีหน้าของตนเอาไว้

หากนางเดาไม่ผิดคนสกุลหลินที่มาในครั้งนี้น่าจะมีหลินชิงเหมยติดตามมาด้วย ได้พบกันในยามยังอ่อนเยาว์อีกครั้งเช่นนี้นางเองก็อยากรู้เช่นกันว่าแม่ดอกบัวขาวของนางในตอนนี้เริ่มมีพิษสงบ้างแล้วหรือยัง และนางเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงไม่เคยเห็นญาติผู้น้องคนนี้อยู่ในสายตาเลยสักครั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีญาติผู้น้องที่ชอบทำตัวเป็นแม่ดอกบัวขาวผู้นี้ก็เข้าไปทำลายชีวิตอันสงบสุขของนางเข้าเสียแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel