บทที่6 โรคระบาด
"ฝนจะตกจริงใช้มั้ยอาอี่"แม่เฒ่าถามด้วยความตื่นเต้น ถ้าฝนตกชาวบ้านก็จะได้คลายร้อนได้บ้างและยังมีน้ำไว้ใช้ แถมแหล่งน้ำธรรมชาติได้มีน้ำไว้ให้สัตว์อีกด้วย
"ข้าไม่แนใจเจ้าค่ะ เจ้านี้มันบอกแค่ว่าอาจมีปริมาณน้ำฝนหนาแน่น"
"ดีๆ อย่างน้อยยังมีความหวัง ถือเป็นข่าวดี"
"ฝนตก"เสี่ยวเปา
"ฝนตก"หลิงหลง
"จ้าฝนจะตกแล้ว"ไห่เม้ยรับคำเด็กทั้งสอง เธอเหมือนมีลูกแฝดเพราะอายุของเด็กใกล้เคียงกัน
"ข้าว่าอย่าเพิ่งบอกใครเผื่อมันอาจไม่ตกคนจะผิดหวังเสียเปล่าๆ "หลีฟูกลัวว่าคนจะคาดหวังว่าฝนจะต้องตก ถ้ามันไม่ตกอาจทำให้ชาวบ้านผิดหวังก็ได้
การเดินทางเป็นไปด้วยความเงียบเพราะทุกคนเริ่มสิ้นหวังว่าเดินหนีภัยแล้งครั้งนี้อาจไม่ใช้ความคิดที่ดีก็ได้
ตอนตั้งกระโจมพักค้างแรมจากที่เคยมีเสียงพูดคุยก็เริ่มเงียบไม่มีการพูดคุยกันแบบในอดีตเพราะทุกคนท้อแท้เกินกว่าจะมีอารมณ์เสวนา
ชิงอี่เป็นห่วงสัตว์เลี้ยงของเธอที่เฝ้าบำรุงมาอย่างดีกลัวจะโดนคนคิดเอาไปเป็นของตัวเองหรือคนใจบาปเอาไปทำอาหารเพราะพวกมันอ้วนดูน่ากินมากเธอเลยอยู่เฝ้าสี่สหายไม่ห่าง เธอถือว่านี้คือของรักของข้าเชียวแหละ
และเช้ามืดของเช้าวันหนึ่งก็มีลมแรงจนกระโจมปลิว
ชิงอี่คิดว่าฝนอาจจะมาเลยให้ทุกคนเก็บของขึ้นเกวียนแล้วขยับเกวียนหาที่กำบังเตรียมหลบฝน
ผ่านไปแค่เพียงจิบชาเมฆฝนก็เริ่มตั้งเค้า ชาวบ้านพากันดีใจเพราะพวกเขาไม่มีน้ำใช้มาหลายวันแล้วเหลือแต่น้ำดื่มที่ต้องดื่มกันอย่างประหยัด
ทุกครอบครัวเตรียมรองน้ำฝน ส่วนบ้านหลีและบ้านหวองไม่เดือดร้อนเรื่องน้ำก็เตรียมทำที่หลบฝน เอาสัตว์ทั้งสี่มาผูกรวมกันแล้วทำที่กันฝนให้พวกมันตามที่ชิงอี่ขอร้อง และฝนก็ตกแถมตกหนักจนไม่ลืมหูลืมตาจนไม่สามารสเดินทางได้ ขบวนลี่ภัยต้องปักหลักสร้างที่หลบฝนในป่าชั่วคราว
"ตอนไม่ตกก็แล้งสะไม่มี พอตกก็ตกแบบไม่ลืมหูลืมตาแล้วแบบนี้เมื่อไรเราจะเดินทางได้"แม่เฒ่าหวองบ่นอย่างอ่อนใจ
ทุกคนตอนนี้อยู่ในเกวียนเพราะข้างนอกเปียกจนไม่สามารถลงไปเดินได้ ชิงอี่กลัวทุกคนจะป่วยเลยให้ทุกคนกินยาบำรุงไม่เว้นแม่แต่สัตว์เลี้ยง พอว่างๆไม่มีอะไรทำก็เข้าไปในห้องวิจัย
ด้วยฝนตกไม่ยอมหยุดเป็นอาทิตย์ทำให้ชาวบ้านเริ่มป่วยแล้วก็ติดต่อกันจนเป็นโรคระบาด แรกๆก็ยังปกติแต่พอผ่านไปเกือบเดือนชาวบ้านบางครอบครัวที่ยังไม่ติดก็เริ่มกลัวจะติดโรคเลยขอแยกจากขบวนไป แม่อู๋ก็คือหนึ่งในนั้น
ส่วนครอบครัวที่มีผู้ติดเชื้อก็เร่งเดินทางไปเมืองเฉียงที่ใกล้ที่สุดเพื่อรักษา ตอนนี้ขบวนอพยพเหลือไม่ถึง5ครัวเรือนร่วมครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านที่เหลือสองคนผัวเมียและลูกสาวคนเล็กตู่อันผิงอายุ15หนาว ส่วนลูกชายเชื่อคำเมียพาครอบครัวหนีไปอยู่บ้านแม่ยายโดยปล่อยทิ้งให้บิดามารดาและน้องสาวไม่พาไปด้วย หัวหน้าหมู่บ้านโกรธถึงกับตัดขาดพ่อลูกและไม่ยอมให้ลูกชายเอาเกวียนวัวไป แล้วมีครอบครัวหลีและครอบครัวแม่เฒ่าหวอง ส่วนอีกสองครอบครัวมีพ่อเฒ่าแม่เฒ่าฉีกับหลานสาวฉีเย่วหงอายุ17หนาว ส่วนอีกครอบครัวคือเฉินเปียวอายุ25กับภรรยาเฉินอิงอิงอายุ24ที่มีบุตรชายเฉินคุณอายุ8หนาวนอนติดเชื้อหวัด ที่ยังอยู่เพราะไม่มีตำลึงจะไปรักษาผัวเมียเฉินพอรู้วิชาแพทย์เลยหาสมุนไพรมาต้มให้ลูกชายพอประคองไม่ให้อาการหนักไปมากกว่านี้
"อาเปียวทำไมไม่พาลูกชายเจ้าไปหาหมอละ อย่าทิ้งไว้นาน"หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ
"ข้าไปสอบถามมาแล้วขอรับ หมอในเมืองเขาคิดค่ารักษาครั้งละ1ตำลึงเงิน ข้าไม่มีขนาดนั้นขอรับ เลยเก็บสมุนไพรมารักษาให้พอบันเทาโรคไปก่อน ข้าเข้าป่าไปหาสมุนไพรทุกวันเพื่อจะมีโชคเจอสมุนไพรหายากได้เอาไปขายมีค้ารักษานะขอรับจะขายลาของที่บ้านลูกชายก็ไม่ยอมเขารักของเขามากยอมไม่รักษาขอแค่ไม่ขายมันไป"
ชิงอี่ที่เห็นครอบครัวเฉินพยามรักษาบุตรชายเท่าที่กำลังมีแถมเธอยังใจบางกับคนรักสัตว์อีกด้วย เลยแวะไปดู และแบ่งยาลดไข้ให้ไป
"ยาเม็ดนี้เป็นยาช่วยลดไข้ เอาให้อาคุณกินนะเจ้าค่ะ มันเป็นยาดีมากสามารสช่วยลดอาการไข้ได้ แล้วนี้ยาบำรุงป้อนให้เขากินให้หมดรับรองพรุ่งนี้เช้าเขาหายแนนอนเจ้าค่ะ ขอแค่อย่าบอกใครว่าได้ยารักษามาจากข้าเท่านั้นพอ"
เช้ามาเฉินคุณก็หายจากอาการป่วยเฉินเปียวถึงขนาดมาก้มหัวขอบคุณ
"ขอแค่พวกท่านไม่บอกใครและดูแลเจ้าลาเพื่อนคู่ยากของลูกชายท่านเท่านั้นพอเจ้าค่ะ"บอกแล้วเธอใจบางกับคนรักสัตว์
ด้วยชิงอี่กลัวสมาชิกในขบวนจะล้มป่วยเพราะมีแต่ผู้ชราและผู้หญิงเลยให้ท่านแม่ต้มน้ำซูปแล้วใส่ยาบำรุงไปหลายขวดเพื่อเอาไปบำรุงคนในขบวนได้กิน
"แยแล้วท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าเอาสมุนไพรไปขายในเมือง ตอนนี้ในเมืองโรคระบาดได้ขยายพื้นที่ทั้วทั่งเมืองแล้วขอรับ"เฉินเปียวที่เก็บสมุนไพรไปขายก็ได้เห็นว่าตอนนี้ทั้วทั้งเมืองเป็นไปด้วยคนป่วยจากโรคระบาด
"แบบนี้เราก็ผ่านเมืองนี้ไม่ได้แล้วสิ แล้วเราจะข้ามไปได้ยังไงละ"ฮวาหลิวตกใจเธอหนีภัยแล้งแล้วยังต้องมาเจอโรคระบาดอีกเหรอ
"มันก็พอมีทางขอรับแต่ต้องอ้อมไปใช้เวลา10วันก็ข้ามไปได้แล้วแต่ทางอาจลำบากหน่อยเพราะมีสัตว์ป่าดุร้าย"เฉินเปียวเดินทางเก็บสมุนไพรบ่อยเลยพอจะรู้เส้นทางอยู่บ้าง
"สัตว์ดุข้าไม่กลัวขอแค่มีทางให้ไป"คนอย่างชิงอี่ฆ่าคนไม่กระพริบตากะอิแค่สัตว์ดุร้ายนับว่าอะไร
เมื่อตกลงกันได้เป็นอันว่าจะเดินทางอ้อมเมือง ทุกครอบครัวมีเกวียนวัวกันทุกคนทำให้การเดินทางไม่มีใครถ่วงใคร และด้วยในขบวนจะมีคนเฒ่าสะเป็นส่วนใหญ่ ครอบครัวหลีเลยเป็นผู้นำขบวนแล้วให้ล่อของเฟยเทียนปิดท้าย พอพักตั้งกระโจมหลีฟูก็จะออกไปล่าสัตว์เอามาแบ่งให้ทุกคนโดยมีเฉินเปียวไปเป็นลูกมือช่วยล่า แล้วอยู่ๆจากที่แยกครัวก็กรายมาเป็นมานั้งกินร่วมกลุ่มกัน ส่วนกลางคืนก็สลับเฝ้ายาม
ในเมืองโรคระบาดหนักเกินกว่าจะคุมสถานการณ์ได้ ชาวบ้านที่แยกขบวนไปแต่แรกก็คิดหนีโรคระบาดกลับมาอยู่ในขบวนแต่กลับไม่เห็นขบวนสะแล้ว ลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านก็เป็นหนึ่งในผู้จะกลับมา
"ท่านพี่ ทำไมไม่เห็นเกวียนท่านพ่อละเจ้าค่ะ"ลูกสะใภ้ร้องอยากตกใจ
"หรือท่านหัวหน้าหมู่บ้านออกจากเมืองไปแล้ว"ชาวบ้านคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต
"เป็นไปไม่ได้ถ้าจะออกจากเมืองพวกเราต้องเจอสิแถมเขายังไม่ให้ผ่านด้วยเพราะกลัวโรคระบาด"ตู่คุณเฉียวบุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านเฝ้าประตูเมืองอยู่ถ้าบิดาผ่านเขาต้องเห็นแนนอน
"แล้วพวกเขาไปไหนกันหมด..พวกเราต้องตามพวกเขาให้เจอนะคนบ้านหลีต้องอยู่ในขบวนด้วยแนๆ "ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นเขาหวังว่าจะกลับมาร่วมขบวนกับครอบครัวหลีเพราะคนบ้านหลีมีฝีมือสามารถคุ้มครองบ้านเขาได้แนนอน
"แล้วพวกเขาไปไหนแล้วพวกเราจะอยู่กันยังไง..ข้าไม่น่าคิดน้อยแยกตัวจากขบวนเลย"แม่เฒ่าฟางได้แต่บ่นอย่างเจ็บใจ ตอนนี้เหมือนพวกเขาโดนลอยแพ จะกลับที่เมืองก็มีแต่โรค
คุณเฉียวคิดอะไรไม่ออกเลยจะไปบ้านภรรยาก่อน
ส่วนครอบครัวอื่นก็กะจัดกะจายแยกกันไป หลายครอบครัวไม่สามารถไปไหนได้ไกลเพราะติดโรคทำให้ล้มป่วย หนึ่งในนั้นคือตู่คุณเฉียวที่ติดเชื้อแล้วจากไปอยู่หน้าประตูเมืองนั้นเอง แต่เรื่องนี้หัวหน้าหมู่บ้านและภรรยาไม่ได้รับรู้เพราะคิดว่าบุตรชายไปอยู่บ้านลูกสะใภ้
"วันนี้ได้หมูป่ามาด้วย เดี๋ยวเย็นนี้ทำน้ำน้ำแกงกระดูกหมูไว้บำรุงร่างกายกันดีกว่าเจ้าค่ะ"ไห่เม้ยกับสองสาวน้อยเย่วหงกับอันผิงชวนกันไปล้างคำความสะอาดเครื่องในอยู่ข้างลำธารเตรียมทำใส้กรอกเลือดเอาไว้เป็นเสบียงต่อไป สามสาวรีบล้างรีบทำเพราะกลิ่นคาวจะเรียกสัตว์ใหญ่
"พี่ไห่เม้ยเก่งจังเลยเจ้าค่ะทำอาหารได้ตั้งหลายอย่าง พวกเราทั้งสองต้องฝึกกับพี่ให้เยอะแล้ว"
"ข้าก็เรียนมาจากท่านแม่อีกทีละจ้ะ "ตอนเธอมาเป็นสะใภ้ใหม่ๆก็ไม่เก่งเท่าไรก็ได้แม่สามีค่อยบอกค่อยสอน
และสามสาวก็คุยกันไปด้วยความสุขจนทำอาหารเสร็จก็เดินกลับ
มาถึงที่พักอิงอิงก็เตรียม เอาใบสนมาทำที่รมควันใส้กรอกเลือดให้เรียบร้อย
หนุ่มๆเตรียมฟืนเหมือนเป็นการฝึกฝีมือไปในตัวขนาดเฉินเปียวตอนนี้ยังมีพละกำลังเพิ่มขึ้นเขายังหาสมุนไพรมาให้ต้มเป็นยาบำรุงให้ท่านผู้เฒ่าทั้งหลายเขากำพร้าแต่เด็กแม่ป่วยเสียชีวิตส่วนบิดาก็ตกเขาจากการล่าสัตว์เขาเลยอยู่ตัวคนเดียวมาแต่เด็กจนมาเจอภรรยาที่ตอนนั้นนางขายตัวเองเพื่อนำเงินไปทำศพบิดาเขาเลยเข้าช่วยโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่อิงอิงก็ตามมาดูแลเขาจนได้กราบไหว้ฟ้าดินกันแบบง่ายๆจนมาเจอขบวนอพยพแรกๆก็ไม่ได้สนิทอะไรกันแต่พอกลุ่มเหลือเล็กลงทำให้ได้รู้จักกันมากขึ้นเขาถือว่าโชคดีที่เจอคนที่จริงใจ
ทุกคนเหมือนรู้หน้าที่ตัวว่าต้องทำอะไร
ชิงอี่คิดว่ากลุ่มนางขนาดเท่านี้กำลังพอไม่เยอะเกินไป ดูแลพอทั้วถึง
ในขนาดที่เธอกำลังชื่นชมกลุ่มตัวเองก็รู้สึกการเคลื่อนไหวบางอย่างเลยตามไปดู พอชิงอี่ตามไปถึงก็เจอกับสัตว์ตาแดงขนาดเล็กกำลังมองเธอกลับมา
