ตอนที่ 15 พี่ชาย
เซี่ยชูหลิงหันไปเอ่ยถามเสิ่นหยุนชู "เจ้าจะลงมาดีดีอย่างรู้ตัว หรือจะให้ข้าสั่งคนไล่เจ้าลงมา?"
เสิ่นหยุนชูนั้นนางไม่พอใจจริงๆ
เดิมทีวันนี้เป็นวันของนางชัดๆ นางแค่อยากกลับบ้านอย่างมีเกียรติให้คนทั้งจวนเห็นว่าท่านอ๋องนั้นทรงโปรดปรานนางเพียงใด
นี่ก็จะต้องถูกผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนี้แย่งไปเสียแล้ว แน่นอนว่านางนั้นไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยชูหลิงที่จ้องมองตนอยู่
นอกรถนั้น นางรู้ว่าผู้หญิงคนนี้พูดอะไรก็จะต้อง
ทำอย่างนั้น แม้แต่ท่านอ๋องนางยังกล้าสาปแช่ง
อย่างไม่กลัวตาย ยังมีเรื่องอะไรที่นางไม่กล้าทำอีก
ถ้าทะเลาะกันบนท้องถนน สุดท้ายคนที่ลำบากก็
จะเป็นตนอง นางจึงลงจากรถอย่างพยายามอด
กลั้นอารมณ์ สีหน้าของนางนั้นยิ่งกว่าก้นหม้อ
“เซี่ยชูหลิง เจ้าอย่าได้ใจไปนัก หัวเราะทีหลังดังกว่า ท่านอ๋องนั้นไม่สนใจเจ้าด้วยซ้ำ สักวันเจ้าจะต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนข้า!"
เซี่ยชูหลิงหัวเราะคิก "เสิ่นหยุนชูเอ๋ย ท่านอ๋องทิ้งเจ้าอยู่ตรงนี้แล้ว ดูๆ แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเจ้ามากนัก เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน"
"เจ้า!" เสิ่นหยุนชูนางโกรธอย่างมาก นางลงจากรถม้า แล้วพูดเยาะเย้ยที่ข้างหูว่า
"เจ้าก็เกาะได้แค่รถม้านั่นและ ชาตินี้แค่ถือรองเท้าให้ท่านอ๋องเจ้าก็ยังไม่คู่ควร!"
"ฮ่าๆ เสิ่นหยุนชูข้าไม่โง่แย่งตำแหน่งนั้นของเจ้าหรอก!"
"เจ้า!" เสิ่นหยุนชูแทบอยากจะกระโดดฉีกเซี่ยชูหลิงให้เป็นชิ้นๆ ผู้หญิงคนนี้ไปเรียนวิชาลับริมฝีปากมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ช่วงก่อนที่นางจะเเต่งเข้ามาเป็นชายารอง เวลานางมาเที่ยวเล่นที่จวน หน้าของนาง ตนเองแทบจะไม่เคยเห็น
ไม่คิดเลยว่า พอเห็นจะจะแล้วปากจะกล้ามากถึงเพียงนี้
เสิ่นหยุนชูก้าวลงรถม้าโดยมีจิ่งสือประคอง ดวงตาของนางจ้องมองเซี่ยชูหลิงอย่างโกรธแค้น ทันทีที่นางขึ้นรถม้าของตน รถม้าทั้งสองคันก็แยกออกไปคนละทาง
ไม่นานรถม้าประจำตำแหน่งของท่านอ๋องและพระชายาก็มาถึงหน้าจวนเสนาบดี ทันทีที่บ่าวหน้าจวนเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปรายงาน
เวลานี้ท่านเสนาบดีเซี่ยยังคงอยู่ในพระราชวังราชกิจเช้ากับเหล่าขุนนางและฮ่องเต้อยู่ จึงมีเพียงจิงอี้เหนียงและเหล่าอนุภรรยาคุณหนูคุณชายที่ต่างก็ออกมารอรับที่หน้าจวน
แต่เมื่อม่านรถม้าเปิดออก คนขับรถม้าก็นำเก้าอี้รองขามาวาง คนที่โน้มตัวออกมาคนแรกคือชิงฮวน
สีหน้าของจินซื่ออึมครึมทันที เซี่ยชิงหลางที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยถาม "ทำไมถึงเป็นนางเพียงผู้เดียว แล้วท่านอ๋องเล่า?"
แม่หวังส่งข่าวมาว่าท่านอ๋องและเซี่ยชูหลิงนั้นเข้าวังหย่าร้างกันแล้วมิใช่หรือ?แล้วเหตุใดนางถึงยังมีหน้ากลับมาที่จวนซ้ำยังได้นั่งรถม้าประจำตำแหน่งพระชายาอ๋องอยู่อีก
สีหน้าของจินฮูหยินก็ตะลึงไม่น้อย แต่นางก็
สามารถซ่อนไว้ทันที จากนั้นกระแอมเสียงค่อยๆ
เตือนให้เซี่ยชูหลางอย่าพูดมาก
เพราะถึงแม้ว่าท่านเสนาบดีนั้นจะลำเอียงไปทางเซี่ยชูหลางมากกว่าเซี่ยชูหลิงแต่เขาก็
คาดหวังว่าลูกสาวคนนี้ของเขาจะยืนตั้งหลักที่จวนท่านอ๋องได้อย่างสง่างาม
เพราะสำหรับจวนมหาเสนาบดีแล้ว
นั่นคือเกียรติยศสูงสุด กลับกัน หากเซี่ยชูหลิงถูก
หย่าร้างแล้วให้กลับบ้าน เมื่อลูกสาวอีกสองคนในจวนจะแต่งออกไป จะต้องถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการอบรมสั่งสอนของจวนมหาเสนาบดีอย่าง
แน่นอน
เขารู้ว่ามู่หรงเหยียนและเซี่ยชูหลิงเคยเข้าวังเพื่อขอหย่าร้างกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องอะไร นั่นก็แสดงว่าเรื่องนี้ยังสามารถที่จะเยียวยาได้ ตอนนี้ก็คงจะต้องรอดูท่าทีของเซี่ยชูหลิงอย่างนิ่งๆก่อน
นางพาทุกคนยอบกายลงต้อนรับการมาเยือนของพระชายาเหยียน เซี่ยชูหลิงปรายตาขึ้นมองสำรวจทุกคนในบริเวณลานบ้านในคราเดียววันนี้เซี่ยชูหลางนั้นประดับด้วยหยกเพชรมากมายทั้งตัวนั้นหรูหราอย่างมาก ดึงดูดสายตาของผู้คน คาดว่าการแต่งกายนี้คงถูกประโคมขึ้นเมื่อรู้ว่ารถม้าจวนเหยียนอ๋องมาที่จวนอย่างแน่นอน
เซี่ยชูหลิงนั้นในวันนี้ยังคงเป็นชุดเรียบๆ เพียงแค่ปักปิ่นทองที่ผมแสดงถึงฐานะของตน ซึ่งโดดเด่นออกมาในเส้นผมที่ดกดำ แต่
การเคลื่อนไหวของนางนั้นมีความสุภาพเรียบร้อยมีเอกลักษณ์ที่น่าดึงดูดคนจากภายในสู่ภายนอกไม่อาจจะดูหมิ่นได้เลย
เมื่อคนในจวนเห็นนางในท่าทางเช่นนี้ต่างก็รู้สึกว่าวันนี้เซี่ยชูหลิงนั้นแตกต่างจากเมื่อก่อน หากว่าเปรัยบเทียบกับเซี่ยชูหลางที่เดิมทีเป็นคุณหนูที่ถูกประคบประหงมมาแต่เด็กแล้วช่างดูห่างชั้นกับเซี่ยชูหลิงที่เป็นเพียงคุณหนูในนามเมื่อก่อนนี้ยิ่งนัก
วันนี้เซี่ยชูหลิงนั้นเหมือนกับเหยือกหยกที่ถูกแกะสลักมาจากหยกขาวชั้นดี ส่วนเซี่ยชูหลางนั้นกลับเป็นดอกเสาเย่าที่เบ่งบานดึงดูดสายตาผู้คน ความรู้สึกตะลึงของผู้คนนั้นมาจากความสวยของดอกไม้ แต่กลับมาอยู่กับเสน่ห์ของเหยือกหยก
เซี่ยชูหลางนั้นรู้สึกว่า พี่สาวต่างมารดาที่ถูกบิดาเก็บมาคนนี้มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป การกระทำของนางนั้นมีความเป็นตัวของตนเองและรักในศักดิ์ศรี
เซี่ยชูหลิงยิ้ม"ท่านพ่อไม่อยู่หรอกหรือ?"
จินซื่อยังไม่ทันได้ตอบ เซี่ยชูหลางก็เอ่ยถาม "เซี่ยชูหลิงเหตุใดถึงมีเจ้าเพียงคนเดียว แล้วท่านอ๋องเล่า?"
"นั่นสิท่านอ๋องเหยียนไม่ได้มากับเจ้าหรอกหรือ?" จินซื่อเองก็สงสัย นี่ถ้ารู้อย่างนี้นางเองก็คงไม่โผล่หัวออกมาให้นางเด็กบ้านนอกคนนี้ได้หน้าเช่นนี้หรอก
"ท่านอ๋องติดธุระหน่ะ อีกอย่างข้ามาในวันนี้ก็เพียงแค่อยากมาเยี่ยมพี่ชาย จินซื่อมีอันใดไปทำก็ไปทำเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะเดินไปเอง"
เซี่ยชูหลิงเดินตามความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม จวนเสนาบดีเซี่ยนั้นเป็นจวนเสนาบดีที่กว้างขวางมากเสียจริงๆ
นางเดินผ่านลานของจวนไปทางด้านหลังผ่านสวนดอกไม้และภูเขาจำลอง ผ่านภูเขาจำลองไปมองไปข้างหน้าระยะทางค่อนข้างห่างไกลสายตาของนางก็มองเห็นเรือนเล็กหลังหนึ่ง
สภาพเรือนค่อนข้างผุพัง หากพายุพัดกระหน่ำติดต่อกันสักสามวันไม่แน่ว่าเรือนเก่าแห่งนี้คงจะไม่พ้นพังทะลายลง
เมื่อไปถึงหน้าประตูเรือนนางก็ได้ยินเสียงไอติดต่อกันสามสี่ทีดังมาจากข้างใน
เซี่ยชูหลิงเคาะประตูสามครั้งจากนั้นเซี่ยชูหลิงก็เอ่ยขึ้น "ท่านพี่!"
ไม่นานคนรับใช้ก็พยุงเซี่ยชูเหอเดินมาที่ประตู ร่างสูงขิงเขายืนนิ่งอยู่หน้า
ประตูอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นเซี่ยชูหลิงปรากฎขึ้นมา สีหน้าที่ผอมซูบและขาวซีดเพราะอาการป่วยมานานก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา นัยต์ตาที่คมลึกนั้นก็มีแสงเปล่งประกาย "น้องเล็ก"
เขาเป็นคนในครอบครัวที่แท้จริงคนสุดท้ายของนางในชีวิตแล้ว เมื่อเซี่ยชูหลิงได้ยินคำว่าน้อง
เล็ก ในใจก็รู้สึกเศร้าๆ รู้สึกน้อยใจจนอยากจะ
ร้องไห้ออกมา
ตามภาพจำของเจ้าของร่างเดิม เดิมทีพี่ชายเป็นคนที่หล่อเหลาองอาจกล้าหาญ เป็นชายหนุ่มที่มีกิริยาท่าทีงาม บวกกับฐานะที่เป็นลูกชายของ
ภรรยาเอก มีหญิงสาวมากมายในเมืองหลวงนั้น
ปลาบปลื้มมอบใจให้ แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาพนี้
นางดึงแขนเสื้อของเซี่ยชูเหอ"ท่านพี่ไม่สบายทำไมถึงมาเปิดประตูด้วยตนเองเล่า เรื่องแค่นี้ให้พวกเขาทำก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?"
เซี่ยชูเหอมองดูน้องเล็กของตนอย่างเอ็นดู เขาหายใจอย่างอ่อนแรงสองที่แล้วพูดว่า "ก็พี่ได้ยินว่าเป็นน้องพี่อดใจรอไม่ไหวน่ะสิ ร่างกายที่ป่วยแล้วอ่อนแอของพี่ก็ไม่สามารถที่จะไปไหนไกลได้อยู่แล้ว แต่เพียงได้ยินเสียงน้องพี่ถึงได้รีบออกมา"
เซี่ยชูหลิงอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อเห็นท่านพี่ไอจนตัวโยนนางก็รีบเข้าไปประคองด้วยความร้อนรนพร้อมกับไล่บ่าวรับใช้ให้ออกไป
ทั้งสองเดินเข้ามาที่ห้องโล่งกว้างป้องกันคนของจินซื่อมาแอบฟัง เมื่อมาถึงด้านในลานเซี่ยชูเหอเอื้อมมือไปจับขอบโต๊ะมืออีกข้างก็กุมไว้ที่อก จากนั้นหายใจหอบสองสามครั้ง
"พี่ทราบข่าวเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้เจ้าดีขึ้นแล้วหรือไม่?"
"ท่านพี่น้องไม่เป็นอะไรแล้ว" เซี่ยชูหลิงทำท่าทีสบายๆให้เขาดู
เซี่ยชูเหอถอนหายใจ "ร่างกายของเรานั้นมาจากพ่อและแม่ เมื่อก่อนที่ท่านแม่พาข้ากับเจ้าเข้าเมืองมา จินซื่อ พยายามหาเรื่องเราทุกวิถีทาง ท่านแม่รู้ทั้งรู้ว่าท่านพ่อไม่มีใจให้แล้ว แต่ทำไมยังยืนยันที่จะอยู่ต่อ
ท่านไม่ได้หวังอยากจะได้ความสุขสบายในจวนมหาเสนาบดีนี้ แต่ท่านรู้ตัวดีว่าร่างกายของท่าน นั้นไม่ไหวแล้ว พยายามแก่งแย่งเพื่อให้พวกเรามีอนาคตที่ดี งานแต่งของเจ้ากับเหยียนอ๋องนี้เป็นความเมตตาจากไทเฮาและเหล่าไท่จวิน
ท่านอ๋องเหยียนก็เป็นมังกรหงส์ในฝูงชน เป็น สามีที่ดีเลิศยากที่จะหาได้ มีตั้งกี่ตระกูลที่คอยจ้องมอง ทำไมเจ้าถึงไม่รู้จักรักษาไว้ คิดสั้นในงานวันชายารองเพียงแค่หึงหวง คืออยากจะให้ท่านอ๋องลำบากใจหรือ ทำไม เจ้าถึงไม่รักชีวิตของตนเองเลยแม้แต่น้อย"
เซี่ยชูหลิงนั้นราวกับเป็นใบ้ มีความทุกข์แต่พูดออกมาไม่ได้ เมื่อมองพี่ชายที่สีหน้าห่วงใยแบบนี้ ในใจก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจขึ้นมา แต่พูดด้วยเสียงต่ำที่ เข้มแข็งว่า "ท่านพี่ชูหลิงไม่ทันจะได้คิด ตอนนี้ข้ารู้ผิดแล้ว ท่านพี่ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว จะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ จะใจสู้มุมานะ ให้คนที่เหยียดหยามเราดู!"
.......
