บทที่ 12 เขาคือไท่จื่อ
ซาลาเปาน้อยลูบท้องกลมๆของตัวเอง ใบหน้าเล็กๆแดงผ่าว “พี่สาว ข้ารู้สึกว่าร่างกายข้ามันร้อนมากๆเลย!”
ไม่เพียงแค่เขาที่รู้สึกเช่นนี้ เฟิ่งเฉี่ยนเองก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาพัดอย่างแรง นางรู้สึกถึงความร้อนที่กำลังไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง และไม่นานนัก แขนขาทั้งสี่ของนางก็รู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นอีกร้อยเท่า!
ติ๊ง ข้าวผัดไข่ห้าจาน พลังกาย+10 พลังต่อสู้+10!
ในหัวแวบผ่านข้อความด้านบนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เฟิ่งเฉี่ยนดีใจเป็นอย่างมาก ฮ่าๆ รู้สึกดีเกินไปแล้ว!
นี่มันคือการเลื่อนขั้นที่ได้มาจากการกิน!
นางชอบระบบกุ๊กทิพย์เสียแล้ว มันถูกสร้างมาเพื่อนคนตะกละอย่างนางจริงๆ!
ประกอบกับก่อนหน้านี้ที่ได้กินหมี่ของซวนหยวนเช่อไป นางได้รับพลังกาย+3 พลังต่อสู้+3 ตอนนี้คะแนนรวมพลังกายและพลังต่อสู้ของนางแบ่งเป็น 13 กับ 13 และระยะห่างจากการเลื่อนขั้นเป็นนักบู๊ทิพย์ระดับหนึ่งคือ 87 แต้ม
“เอ๋? ตอนนี้ข้าเป็นกุ๊กทิพย์ระดับหนึ่งอยู่ไม่ใช่หรือ? ตามหลักแล้วอาหารอย่างหนึ่งสามารถเพิ่มได้ 1 แต้ม ทำไมตอนนี้ถึงเพิ่มมาเป็นสองแต้มกัน?”
[ระดับขั้นของอาหารจะถูกกำหนดโดยปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่นระดับขั้นของวัตถุดิบทิพย์และเครื่องมือกุ๊ก ระดับความบริสุทธิ์ของเชื้อเพลิง ฝีมือการทำอาหารของกุ๊กทิพย์ ล้วนส่งผลกระทบต่อคุณภาพของอาหาร! โดยทั่วไปแล้ว กุ๊กทิพย์ระดับหนึ่งในโลกนี้จะทำได้เพียงอาหารทิพย์ระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถข้ามขั้นได้ แต่กุ๊กทิพย์ระดับหนึ่งที่ฝึกฝนโดยระบบจะมีข้อได้เปรียบในทุกด้าน และสามารถทำการดึงแก่นแท้ของวัตถุดิบทิพย์ในระดับสูงสุดออกมาได้ ดังนั้นการที่จะทำอาหารที่เหนือระดับขั้นไปก็จะไม่ใช่เรื่องแปลก และหากสามารถตามหาเชื้อเพลิงชั้นดีได้ การที่กุ๊กทิพย์ระดับหนึ่งจะทำอาหารทิพย์ระดับสามนั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างมาก!]
“เป็นอย่างนี้นี่เอง!”
[นายท่าน แต้มของท่านมีจำนวนสิบแต้มแล้ว ท่านสามารถสุ่มรางวัลได้หนึ่งครั้ง! ต้องการจะทำการสุ่มตอนนี้หรือไม่?]
“ต้องการ!”
[เริ่มสุ่มรางวัล!]
ตรงหน้าของเฟิ่งเฉี่ยนพลันมีจานหมุนหลากสีสันอันหนึ่งเด้งขึ้นมา และมันก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว......
เฟิ่งเฉี่ยนจ้องมองจานหมุนอย่างตื่นเต้น ไม่รู้ว่าเลยจะสุ่มได้รางวัลอะไร จนทั้งมือและเท้าเหงื่อออกไปหมด
ติ๊ง ได้รับน้ำร้อยหญ้าสองหยด! (คำอธิบาย:รักษาได้ทุกโรค )
ขวดกระเบื้องสีขาวสองขวดถูกเพิ่มในช่องเก็บของช่องเดียวกันในทันที เฟิ่งเฉี่ยนตกตะลึง น้ำร้อยหญ้า? รักษาได้ทุกโรค? มันวิเศษขนาดนั้นเชียว?
ในตอนที่เตรียมจะศึกษามันอยู่พอดีนั้น มุมเสื้อของนางก็พลันถูกกระตุก และเมื่อก้มลงมอง ก็เห็นซาลาเปาน้อยเงยหน้าเล็กๆของเขาขึ้นมา ดวงตาดำใสแป๋วของเขาจ้องมาที่นาง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างนุ่มนวลว่า “พี่สาว ข้าจะเอาอีก!”
เฟิ่งเฉี่ยนเหลือบมองท้องเล็กๆของเขาที่นูนกลมขึ้นมา จากนั้นก็ส่ายหัวพลางกล่าวว่า “เจ้ากินเพิ่มไม่ได้แล้ว หากกินอีกจะได้กลายเป็นซาลาเปาเข้าจริงๆนะ”
ซาลาเปาน้อยเบะปาก กรอบตาของเขาคลอด้วยน้ำตา “ซิงกู่กับลั่วเฟิงบอกว่า ในทุกปีที่พวกเขาฉลองวันเกิด แม่ของพวกเขาก็จะทำอาหารอร่อยๆให้พวกเขาด้วยตัวเอง วันนี้วันเกิดของเย่เอ๋อร์ แต่แม่ของเย่เอ๋อร์ไม่เคยทำของอร่อยๆให้เย่เอ๋อร์เลย พวกเขาพูดถูก เย่เอ๋อร์เป็นเพียงคนน่าสงสารที่ขาดความรักจากแม่......”
เฟิ่งเฉี่ยนตกตะลึง นางทำตัวไม่ถูก “เจ้าร้องไห้ทำไมกัน? อย่าร้องสิ! เจ้าบอกพี่สาวมาหน่อยว่าแม่เจ้าเป็นใคร พี่สาวจะไปสั่งสอนนางให้เอง!”
“ท่านพ่อไม่ให้ข้าเจอท่านแม่ แม่เองก็ไม่เคยมาหาข้า! เย่เอ๋อร์จำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าตาของท่านแม่ด้วยซ้พ! ฮือๆ......” น้ำตาของซาลาเปาน้อยไหลพรูออกมา เขาร้องไห้ได้อย่างเจ็บปวดกว่าเดิมขึ้นมาอีก
“เจ้าเด็กน่าสงสาร! ร้องจนพี่สาวปวดใจไปหมดแล้ว!” เฟิ่งเฉี่ยนโอบซาลาเอาน้อยมาไว้ในอ้อมอก และตบเบาๆเพื่อปลอบใจเขา “หรือให้ข้าไปเจอแม่เจ้า ข้าจะต้องทุบนางไปเสียทีหนึ่งแทนเจ้าแน่ๆ ไม่เคยเห็นแม่ที่ใจร้ายใจดำเช่นนี้มาก่อนเลย!”
ในตอนนี้เองที่เสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่งดังมาจากนอกประตู “ประตูห้องพระเครื่องต้นเปิดอยู่งั้นหรือ? รีบเข้าไปดูเร็ว!”
เมื่อได้ยินเสียง เฟิ่งเฉี่ยนและซาลาเปาน้อยก็สบตากัน
“แย่แล้ว!”
“แย่แล้ว!”
เฟิ่งเฉี่ยนเก็บหม้อและกระบวยและก็อุ้มซาลาเปาน้อยออกไปในทันที
ในตอนที่เดินเข้ามาในห้องพระเครื่องต้น เฟิ่งเฉี่ยนได้สำรวจทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ดังนั้นนางจึงหลบคนของห้องพระเครื่องต้นออกไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อผ่านตรอกในวัง ก็จะพบกับศาลาในสวน ที่นี่จะมีภูเขาและป่าไม้ที่สร้างขึ้นเองอย่างตระการตาเต็มไปหมด ซึ่งเหมาะสำหรับซ่อนตัวเป็นอย่างมาก ดังนั้นเฟิ่งเฉี่ยนจึงหยุดลง
ตอนที่กำลังจะวางซาลาเปาน้อยลง เสียงดุด่าก็พลันดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้นางต้องหยุดอยู่กับที่
“กล้ามากนะ เจ้ากล้าลักพาตัวไท่จื่อกลางวันแสกๆเช่นนี้” เป็นเสียงของซวนหยวนเช่อ!
เฟิ่งเฉี่ยนเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ “ไท่จื่อ?”
หรือว่าซาลาเปาน้อยที่ถูกอุ้มอยู่ จะเป็นไท่จื่อของวังหลวง? หรือก็คือ...หรือก็คือลูกของนางกับซวนหยวนเช่อ?
นางลืมไปเลยว่าเฟิ่งเฉี่ยนมีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง...... จากนั้นเหงื่อเย็นๆหยดหนึ่งก็ไหลลงมาจากหน้าผาก
เมื่อครู่นางยังเพิ่งจะดุด่าแม่ของซาลาเปาน้อยว่าใจร้ายใจดำ และไม่เคยเห็นแม่ที่ไม่รับผิดชอบขนาดนั้นมาก่อน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนที่นางด่านั้น จะไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวนางเองงั้นเหรอ?
นี่มันไม่น้ำเน่าเกินไปหน่อยหรือไง?
นางไม่รู้เลยว่าต้องร้องไห้หรือหัวเราะกันแน่
