บทที่ 2
รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูจวนหนิง
คนรับใช้รีบย้ายแท่นเหยียบขึ้นลงเข้ามาทันใด
ชายหนุ่มที่รูปร่างสูงยาว หน้าตาสง่างาม และสวมเสื้อผ้างดงามคนหนึ่งลงมาจากรถม้าก่อน
คนผู้นี้คือคุณชายใหญ่แห่งจวนหนิง หนิงการต์
หลังจากนั้น ผู้ชายอายุสักห้าสิบปี ท่าทางสุภาพเรียบร้อย และบุคลิกลักษณะไม่ธรรมดาคนหนึ่งเดินออกมาจากในรถม้า
เขาก็คือหนิงจื้อหมิง ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมธรรมการ
หนิงการต์ผลักคนรับใช้ออกอย่างหยาบคาย ไปประคองหนิงจื้อหมิงลงจากรถม้าด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“การต์เอ๋อร์ ข้าสั่งคนให้ตุ๋นแม่ไก่ตัวหนึ่งไว้แล้ว เจ้ากินข้าวเย็นมากๆ หน่อย บำรุงดีๆ ช่วงนี้คงเหนื่อยแย่แล้ว”
ในช่วงหลายวันนี้คือการสอบขุนนางของแคว้นต้าเสวียนซึ่งสามปีมีหนหนึ่ง หนิงการต์เพิ่งเข้าร่วมการสอบขุนนางมา หนิงจื้อหมิงจึงไปรับด้วยตนเอง และเพิ่งกลับมาถึง
“ขอบพระคุณท่านพ่อขอรับ!”
หนิงการต์ประคองหนิงจื้อหมิงเดินเข้าไปข้างใน
เพิ่งเข้าประตูมา ก็มองเห็นหนิงม่าวน้องสามของเขา เดินนำบ่าวไพร่หลายคน ถือกระบองไว้ในมือ ดูท่าทางโหดร้าย
หนิงจื้อหมิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันเล่า?”
หนิงม่าวมองเห็นบิดาของตนเอง แววความดุร้ายบนหน้าเปลี่ยนไปเป็นท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมทันใด
“ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการแทนพี่รองนะขอรับ”
หนิงจื้อหมิงสอบถามด้วยเสียงทุ้ม “พี่รองของเจ้าเป็นอะไรแล้ว?”
“ท่านพ่อ หนิงเฉินเจ้าลูก......เขาขโมยหยกห้อยเอวของพี่รองแล้ว พี่รองเข้าไปขอคืน หนิงเฉินไม่เพียงเล่นลูกไม้ ยังใช้หมอนกระเบื้องทุบศีรษะของพี่รองแตกแล้วขอรับ”
“ถ้าหากพี่รองวิ่งไม่เร็ว กลัวว่าคงไม่รอดชีวิตแล้ว”
หนิงม่าวร้องทุกข์ ฝืนบีบน้ำตาออกมาสักหน่อย
หนิงจื้อหมิงสีหน้าอึมครึม เป็นกังวลทว่าตกใจอยู่บ้าง......หนิงเฉินยอมอ่อนข้อให้มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเจอเขายิ่งไม่กล้าแม้แต่พูดเสียงดัง กล้าใช้กำลังรุนแรงปานนี้เชียว?
หนิงการต์พูดอย่างโมโห “พวกเราตระกูลหนิงให้ข้าวเขากิน ให้น้ำเขาดื่ม ไม่เป็นธรรมต่อเขาที่ไหนกัน? คาดไม่ถึงว่าเขาลงมือโหดร้ายเช่นนี้ต่อพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง เป็นพวกเนรคุณที่เลี้ยงไม่เชื่องเสียจริง”
หนิงจื้อหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หนิงเฉินอยู่ที่ใดกัน?”
หนิงม่าวรีบตอบทันที “ที่หอตะวันตกขอรับ”
หอตะวันตก ก็คือสถานที่ที่คนรับใช้อยู่ แต่ตระกูลหนิงไม่มีผู้ใดคิดว่าหนิงเฉินพักอยู่ที่นั่นมีตรงไหนไม่เหมาะสม
หนิงจื้อหมิงและคนอื่นมาถึงหอตะวันตก
พอเข้ามาข้างใน ก็มองเห็นหนิงเฉินยืนอยู่บนกองฟืน ถือคบไฟไว้ในมือ
ในอากาศมีกลิ่นน้ำมันสนคละคลุ้ง
“หนิงเฉิน เจ้าก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว?”
หนิงม่าวตำหนิเสียงดัง
หนิงการต์ดูค่อนข้างมีเล่ห์เหลี่ยม เอ่ยปากพูดว่า “หนิงเฉิน เจ้ากำลังทำอะไรเล่า? เห็นท่านพ่อมาแล้ว ยังไม่ทำความเคารพ......ลืมมารยาทที่สอนเจ้าไปแล้วหรือ?”
หนิงจื้อหมิงมองหนิงเฉินด้วยท่าทางเอือมระอา
บางคนถ้าหากเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานขึ้นมา ก็จะพยายามลบภาวะจนตรอกที่เคยเกิดขึ้น ในสายตาพวกเขาอดีตคือความอัปยศอดสู
ส่วนหนิงเฉิน ก็คือความอัปยศอดสูของหนิงจื้อหมิง
หนิงจื้อหมิงเป็นคนที่อวดดีที่สุด และรักหน้าตา
เขาไม่อยากให้คนรู้อดีตของเขา ยิ่งไม่อยากให้คนรู้ว่าภรรยาในอดีตของเขาเป็นหญิงชนบท เรื่องนี้ทำให้เขาเสียหน้ามาก
หนิงเฉินมองหนิงจื้อหมิงด้วยท่าทางนิ่งสงบ พูดอย่างนิ่งๆ
“ข้ามีบิดาด้วยหรือ? เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้เล่า?”
สีหน้าของหนิงจื้อหมิงเปลี่ยนไปดูแย่อย่างยิ่งในทันใด
“เจ้าลูกอกตัญญู เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร?”
หนิงการต์ถือโอกาสใส่ไฟ “หนิงเฉิน เจ้าพูดเกินเหตุไปแล้ว......ท่านพ่อให้ข้าวและเสื้อผ้าแก่เจ้า หากไม่มีท่านพ่อ ตอนนี้ก็ยังเร่ร่อนขอทานอยู่”
หนิงเฉินหัวเราะออกมาแล้ว ในสายตาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“ให้ข้าวและเสื้อผ้าข้า?” หนิงเฉินยื่นมือไปดึงเสื้อบางๆ บนตัวของตนเอง “เสื้อผ้าชุดนี้ เป็นชุดที่ท่านซ่างซูหนิงให้ข้าตอนที่ข้าเข้าจวนมา ตอนนี้สองสามปีแล้วกระมัง?”
“ยังมีของกิน? ข้าเป็นคุณชายสี่ของจวนหนิง แต่คุณชายของตระกูลกลับไปร่วมโต๊ะไม่ได้ แต่ละวันได้เพียงกินอาหารที่เหลือของพวกเจ้า บางคราไม่มีแม้แต่อาหารเหลือ”
หนิงจื้อหมิงขมวดคิ้ว เรื่องนี้เขายังไม่รู้จริงๆ ค่าใช้จ่ายในจวนล้วนเป็นฮูหยินดูแล เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวมาก่อน
พูดให้ชัดเจน เขาไม่ได้ไม่ยุ่งเกี่ยว เพียงแค่ไม่เคยยุ่งกับหนิงเฉินเท่านั้น
หนิงการต์รีบร้อนพูดขึ้น “หนิงเฉิน เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล......ตอนที่ท่านแม่ตัดเย็บเสื้อผ้าให้พวกเรา ไม่เคยขาดของเจ้าไปสักหน”
“ยังมีอีก ตอนที่กินข้าว พวกเราส่งคนไปเรียกเจ้า เป็นเจ้าเองต่างหากไม่ยอมมาร่วมโต๊ะ”
หนิงเฉินส่ายหน้าหลุดหัวเราะ “ช่างเป็นลูกชายคนโตผู้แสนดีของแม่เจ้าเสียจริง รู้จักพูดจาปกปิดแทนแม่เจ้าด้วย กลัวนางถูกตำหนิว่าจิตใจชั่วร้ายกระมัง?”
“ท่านซ่างซูหนิง ท่านพี่ชายแสนดีทั้งสองของข้า......ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ถ้ามีเสื้อผ้าหนาๆ เสียหน่อย ข้าคงไม่เป็นหวัด”
“ซ้ำยังราดน้ำบนผ้าห่มและที่นอนของเขา ให้ข้านอนผ้าห่มและที่นอนที่ทั้งหนาวทั้งเปียก ต่อให้เป็นเสื้อผ้าที่หนาก็ทนไม่ไหว”
หนิงการต์ทั้งตกใจทั้งโกรธ หนิงเฉินคนนี้ปกติยอมจำนน เหตุใดถึงนิสัยเปลี่ยนกะทันหัน?
เขาตะคอกใส่ “หนิงเฉิน เจ้าพูดเหลวไหล กลับผิดให้เป็นถูก ใส่ร้ายท่านพ่อกับท่านแม่ของตนเอง โดนโบยสามสิบที”
“นั่นเป็นท่านพ่อกับท่านแม่ของพวกเจ้า เกี่ยวอะไรกับข้า?”
“เมื่อคืน ข้านอนอยู่ในผ้าห่มและที่นอนที่ทั้งหนาวทั้งเปียก ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย ถ้าข้าไม่ได้ดวงแข็ง คงสิ้นใจตายไปแต่แรกแล้ว”
หนิงเฉินคำรามอย่างขุ่นเคือง
โดยรอบมีคนรับใช้ไม่น้อยแอบฟังอยู่ หนิงการต์กังวลว่าหากพูดต่อไป จะกระทบต่อชื่อเสียงของมารดาเขา จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “หนิงเฉิน เจ้าอย่ามาพูดเรื่องที่เดิมทีไม่เป็นความจริงพวกนี้......ที่เข้ามาวันนี้ เพราะเรื่องที่เจ้าตีหนิงซิง”
“เขาเป็นพี่ชายของเจ้า ปกติดีต่อเจ้าไม่น้อย เหตุใดเจ้าถึงลงมือโหดร้ายเช่นนี้?”
หนิงเฉินเยาะเย้ยไม่หยุด “ดีต่อข้าไม่น้อย? วิธีที่ทำดีต่อข้าก็คือรังแกข้าทุกวัน ตีและด่าข้า ใส่ร้ายข้าว่าขโมยของเขา?”
“เมื่อก่อน เป็นข้าไม่ดีเอง ยึดติดกับความรักของครอบครัวอันน่าเวทนานี้ ข้ายอมกล้ำกลืนฝืนทน ไม่ต่อต้าน ไม่ด่ากลับ หวังแค่ว่าพวกเจ้าจะมองข้าเสียหน่อย”
“เมื่อคืนหนีรอดจากความตายมา ถึงเข้าใจกระจ่าง......ความรักของครอบครัวบ้าบออะไร”
ในที่สุดหนิงการต์และคนอื่นเข้าใจแล้ว ที่แท้นี่คือสาเหตุที่หนิงเฉินนิสัยเปลี่ยนไปมาก?
หนิงเฉินทิ้งคบไฟในมือไปยังข้างเท้าหนิงจื้อหมิง
“ท่านซ่างซูหนิง ข้าทำร้ายลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่าน ตอนนี้ข้าคืนชีวิตให้เขา......บนฟืนใต้เท้าของข้าราดน้ำมันสนเอาไว้หมดแล้ว ขอเพียงท่านหยิบคบไฟขึ้นมา ก็สามารถแก้แค้นแทนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านได้แล้ว เอาสิ!”
หนิงการต์กับหนิงม่าวตกใจจนถอยหลังต่อเนื่อง......เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วหรือ?
หนิงจื้อหมิงหวั่นไหว มีอาการใจลอยไปชั่วขณะหนึ่ง......แต่ที่ตามมาคือความโกรธอันไร้ขอบเขต
นึกว่าเป็นผู้ใดกัน?
เจ้าเด็กนี่กำลังข่มขู่เขาหรือ?
ลุงไฉตกใจจนมือไม้สั่นเทา คุกเข่าลงพื้นเสียงดังตึก “นายท่านขอรับ ท่านนายอย่าได้โกรธไป......คุณชายสี่เป็นไข้จนเลอะเลือนแล้ว เดิมทีเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรขอรับ”
“ข้าไม่ได้เลอะเลือน ตอนนี้ข้ารู้ดีเสียยิ่งกว่าเวลาใด”
สีหน้าหนิงเฉินบ้าคลั่งอยู่บ้าง ตะโกนบอก “ท่านซ่างซูหนิง ท่านยังรออะไรอยู่? ลงมือเสียที!”
หนิงจื้อหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา โกรธเคืองอย่างหนักแล้ว
“เจ้าลูกอกตัญญู เจ้าคิดว่าป่วยจนเสียสติ ใช้วิธีเยี่ยงนี้แล้วจะดึงดูดความสนใจของข้าได้?”
หนิงเฉินตะลึงค้างแล้ว
โธ่เว้ย!
เจ้าหมอนี่เอาความมั่นใจมาจากที่ไหน?
หนิงเฉินกลั้นไม่ไหวหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่รู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเจ้าของเดิมของร่างกายนี้
ไม่รู้จริงว่าชาติที่แล้วเจ้าของเดิมของร่างกายนี้ทำกรรมอะไรเอาไว้? ถึงมีพ่อที่ต่ำทรามอย่างนี้
หนิงจื้อหมิงพูดด้วยเสียงทุ้ม “เจ้าลูกอกตัญญู เจ้ายิ่งทำเยี่ยงนี้ ข้ายิ่งรังเกียจเจ้า!”
จากนั้น หนิงจื้อหมิงให้คนดับคบไฟลง ออกไปอย่างเดือดดาล
หนิงการต์กับหนิงม่าวรู้สึกสุขใจในโชคร้ายของผู้อื่น
พวกเขาคิดว่าหนิงเฉินอยากใช้วิธีอย่างนี้มาดึงดูดความสนใจของบิดาเช่นกัน
น่าเสียดาย เอาเปรียบผู้อื่นไม่สำเร็จกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบเอง ตอนนี้บิดานับวันยิ่งรังเกียจเจ้าเด็กคนนี้
หนิงเฉินมองทั้งสองคน ในขณะนั้นก้มตัวหยิบท่อนไม้ท่อนหนึ่งขึ้นแล้วขว้างเข้าไปอย่างแรง
ท่อนไม้ลอยผ่านข้างหูของหนิงการต์ไป
หนิงการต์ตกใจจนตัวแข็งทื่อแล้ว
“หนิงเฉิน เจ้าคนบ้านี่ เจ้าลูกนอกสมรส......”
หนิงม่าวด่าทอยกใหญ่ แต่มองเห็นหนิงเฉินก้มตัวหยิบท่อนไม้ ตกใจจนตัวสั่นเทา ดึงหนิงการต์วิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
