บทที่ 5 ฮูหยินผู้มีใบหน้าที่แสนอัปลักษณ์ (1/2)
รถม้าขับเคลื่อนไปเบื้องหน้าอย่างเรียบเรื่อย เสียงจ้อกแจ้กจอแจบ่งบอกว่าพวกนางเดินทางมาถึงตลาดกลางเมืองแล้ว หลิวจือหลินดูตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่มิด สาวใช้ทั้งสองเห็นท่าทีประดุจเด็กสามขวบของนายหญิงก็อดยิ้มเป็นมิได้
มือเรียวเลิกผ้าคลุมหน้าต่างขึ้นพลางสอดส่ายสายตาเมียงมองร้านรวงสองข้างทาง นางจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร บรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้หลิวจือหลินเคยสัมผัสเพียงในซีรีส์เท่านั้น คาดไม่ถึงว่านางได้เข้ามาเยือนดินแดนยุคโบราณอย่างแท้จริง อันเป็นเหตุให้สามารถหลงลืมความทุกข์ระทมที่ตนถูกหักอกไปเสียสนิทใจ
เกิดใหม่ในร่างโฉมสะคราญ ถึงแม้มีสามีก็เพียงสามีในนามมิใช่หรือ เช่นนั้นหลิวจือหลินควรใช้เรือนร่างสะโอดสะองให้เป็นประโยชน์สูงสุด อย่างเช่น สวมใส่เสื้อผ้างดงามที่ตัดเย็บด้วยตนเอง ผสานกลิ่นอายการออกแบบในยุคสมัยที่จากมาลงไปด้วย ต้องดูแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครแน่นอน ตรึกตรองดูแล้วเรื่องวาดฝันเพื่อทำการค้าของหลิวจือหลินก็ดูไม่เลวทีเดียว
หากนางสามารถออกมาจากเรือนโอ่อ่าทว่าชวนอึดอัดนั้นได้จริง ต่อให้ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงหม้ายก็ช่างปะไร ในเมื่อหลิวจือหลินมิสนใจธรรมเนียมคร่ำครึนั่นเสียอย่าง ซ้ำเจียงโหวยังรังเกียจนางเข้ากระดูกดำจนไม่โผล่หน้ามาให้เห็นสักกระผีกริ้น ยามที่นางเจ็บป่วยก็ไม่เหลียวแล ชะตาน่าอดสูเช่นนี้คงมิมีสตรีใดอยากอยู่กับสามีไร้ใจตลอดชีวิตกระมัง
อีกอย่างหลิวจือหลินก็เคยลั่นวาจาหวังครองตัวเป็นโสดก่อนจิตวิญญาณจะล่องลอยมาติดแหง็กที่แห่งนี้ ดูเหมือนภารกิจอีกอย่างที่พึงกระทำ คือ...คิดหาวิธีหย่ากับสามีในนามให้จงได้
"อ๊ะ!...ร้านนั้น ๆ ข้าอยากไปร้านนั้น"
สารถีดึงเชือกซึ่งใช้บังคับบังเหียนเบา ๆ เพื่อให้รถม้าหยุดลง ร่างระหงเร่งร้อนลงบันไดเสียจนแทบล้มหน้าคะมำ
"ตายจริง ฮูหยินใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ร้านไม่หนีไปไหน"
ปี้อี๋ถึงขั้นอุทานเสียงหลงเมื่อนายหญิงกายเอียงกระเท่เร่แทบดึงพวกนางทั้งสองลงไปกองบนพื้นพร้อมกันทั้งสามคน หลิวจือหลินเงยหน้าขึ้นแช่มช้า พลางส่งยิ้มฝืดเฝื่อนผ่านผ้าโปร่งสีขาว
"ขอโทษที ข้าตื่นเต้นเกินไปหน่อย"
เจียวเจียวและปี้อี๋จึงช่วยกันประคองร่างระหงให้ยืนอย่างมั่นคง จากนั้นจัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ของอีกฝ่ายให้เข้าที่ "เรียบร้อยเจ้าค่ะ"
"ขอบคุณนะ" หลิวจือหลินพยักหน้าหงึกหงักพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจูงมือสาวใช้คนละฝั่งเยื้องย่างเข้าไปในร้านขายผ้าเฉกเช่นเด็กกลัวหลงทาง
หลงจู๊ร้านขายผ้าเห็นลูกค้าเข้ามาก็แย้มยิ้มต้อนรับอย่างเป็นมิตร "คุณหนูต้องการผ้าแบบใดหรือขอรับ ร้านฟ่านอินของเราเพิ่งมีผ้านำเข้าใหม่จากทางตอนใต้เชียว วันนี้ท่านเข้ามาถูกจังหวะพอดีเลยขอรับ"
หลิวจือหลินยังไม่สันทัดเรื่องธรรมเนียมของสตรีออกเรือนเสียเท่าไหร่ ยามที่เจียวเจียวจะเกล้าผมขึ้นให้ นางรู้สึกว่าดูมีอายุเกินไปนิด ดีไซเนอร์ตัวแม่เช่นนางไฉนต้องทำตัวเฉิ่มเชยด้วยเล่า คาดไม่ถึงหากมิเกล้าผมออกจากจวน นางก็กลายเป็นสตรียังไม่ออกเรือนจริงเสียได้
หลิวจือหลินลอบมองใบหน้าบอกบุญไม่รับของสาวใช้ตน พลางคลี่ยิ้มซุกซน มือเรียวยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปาก วันนี้หลิวจือหลินหมายใช้ชีวิตสาวโสดดูสักวัน
ปี้อี๋เจียวเจียวมองกันตาละห้อยพลางทอดถอนใจอย่างนึกปลดปลง ในเมื่อนายหญิงหัวรั้นคงต้องปล่อยเรือตามน้ำเสียแล้ว
"เช่นนั้นข้าขอดูสักครู่ก่อนนะ"
"เชิญคุณหนูตามสบายขอรับ"
นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายวาวระยับยามกวาดมองแพรพรรณหลากสี นางชื่นชอบการเดินเลือกซื้อผ้าผืนงามเป็นที่สุด ทว่ายามนี้หลิวจือหลินมีเงินติดกายไม่กี่ตำลึง เพราะตั้งแต่นางตื่นขึ้น หลิวจือหลินก็ปฏิเสธเงินเดือนจากเจียงโหวตลอด
บางครารับไว้เล็กน้อยและยังคงเก็บในหีบ เพราะนางไม่อยากให้บานปลายเป็นหนี้บุญคุณในภายภาคหน้า สิ่งใดประหยัดได้ควรต้องประหยัด สินเดิมที่มี หลงเหลือน้อยมาก หลิวจือหลินคนก่อนมือเติบเสียจริง
เอ๊ะ! นั่นมันรถม้าจวนโหวมิใช่หรือ
อ่า...ใช่แล้ว จริงด้วย แต่สตรีผู้นั้น
หญิงสาวหน้าร้านเขม้นมองโฉมสะคราญที่ลงจากรถม้า ก็คาดเดาได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด
ใบหน้าอ่อนหวานสะสวย คงเป็นอนุของท่านโหว ส่วนฮูหยินผู้ใดก็ว่านางเสียโฉม ขี้ริ้วขี้เหร่อัปลักษณ์ไปแล้ว ขนาดตอนที่นางงดงาม ท่านโหวยังมิชายตาแลนางเลย เพราะนิสัยฮูหยินก็สุดจะทน
เดิมทีหลิวจือหลินไม่คิดใส่ใจเสียงนกเสียงกาแม้เพียงเสี้ยว ทว่ากลับได้ยินบทสนทนาพาดพิงมาถึงตน นางก็เลยอยากสอดรู้สอดเห็นดูเสียหน่อย
นั่นน่ะสิ นิสัยก็แย่อย่างกับพวกนางละครที่เล่นเป็นตัวร้าย ข้าล่ะเห็นใจท่านโหวจริง ๆ ยามตบแต่งฮูหยินก็ต้องจำใจแต่งเพราะราชโองการ
ชู่ว...เสียงดัง พอได้แล้ว เข้าไปเลือกผ้ากันดีกว่า
จากนั้นสตรีสองนางจึงมุ่งตรงเข้ามาในร้านที่หลิวจือหลินกำลังเลือกผ้าอยู่ ดูเหมือนเจียวเจียวและปี้อี๋พยายามกดข่มอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา
หลิวจือหลินสัมผัสได้ถึงไอสังหารอันพวยพุ่งจากสาวใช้คู่ใจ นางคว้ามืออีกฝ่ายไว้คนละฝั่ง พลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม
หากใช้กำลังสั่งสอนสตรีปากเปาะ มิใช่เป็นการยอมรับสิ่งที่พวกนางกล่าวหาหรือ แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องจริงบางส่วน หลิวจือหลินคนเดิมใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ หากนางยังอยู่ คงวิ่งรี่เข้าฟาดปากสตรีสองนางเป็นแน่แท้
"ผู้มีปัญญาย่อมไม่ใช้กำลังตัดสินปัญหา" หลิวจือหลินกล่าวกระซิบ
หลิวจือหลินไม่ใส่ใจเรื่องไร้สาระนั้นอีก และไม่คิดอยากรู้ด้วยว่าอนุเจียงโหวจะมาทำไม ร่างระหงลากกายสาวใช้ผ่านมุมนั้นเข้ามุมนี้ไปเรื่อยเปื่อยด้วยความเพลิดเพลิน
ทว่าเมื่อหลิวจือหลินตั้งใจหยิบผ้าสีครามเหลือบมุกเพื่อชมรายละเอียด กลับมีมือเรียวขาวอีกหนึ่งยื่นมาขวางเสียก่อน หลิวจือหลินแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า
