บทที่ 4 ลืมไปแล้วว่ามีตัวตน (2/2)
หลิวจือหลินพิเคราะห์หน้าตาที่มีผ้าแพรปกปิดพลางตบข้างบั้นท้ายตนเปาะหนึ่ง
เจียวเจียวยกมือทาบอก "…ฮูหยิน ทำเช่นนี้ไม่งามนะเจ้าคะ"
หลิวจือหลินเหลียวหน้ามองสาวใช้ พลางหัวเราะขบขัน เปลือกตาบางขยิบหนึ่งฝั่งหยอกล้อ จากนั้นเท้าเรียวเดินบ้างกระโดดบ้างดั่งกระต่ายเริงร่า หลิวจือหลินฮัมเพลงเสียงแผ่ว ไม่ใส่ใจสาวใช้ตนอีก
เจียวเจียวแทบเกิดลมจับ เพราะเจียวเจียวมักเคร่งครัดเรื่องความเป็นกุลสตรีเช่นนี้เสมอ ส่วนปี้อี๋ยิ้มขบขัน
ปี้อี๋ "เอาน่าอาเจียว ฮูหยินเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ"
"แต่…"
"ไม่ต้องแต่แล้ว เห็นหรือไม่ฮูหยินจะถึงรถม้าแล้ว เจ้าอยากหลังลายรึ"
เจียวเจียวพยักหน้าหงึกหงัก พวกนางเร่งถลันกายตามนายหญิงไปทันควัน
บุรุษร่างสูงผินหน้ามองเรือนตะวันออกด้วยความใคร่รู้ ดูนางไม่แยแสเขาจริงดังว่า คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน แม้นางอยู่ห่างจากเขาจนเห็นไม่ชัด แต่เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของหญิงสาวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
หางตาของหลิวจือหลินพลันเหลือบเห็นรถม้าอีกคันจอดไว้ไกลลิบ คงมิใช่ทางฝั่งเรือนหลักกระมัง ช่างเถอะ...
"ฮูหยิน นั่นคงเป็นท่านโหวกับอนุหม่าเจ้าค่ะ"
หลิวจือหลินพยักหน้า "อืม...ช่างเขาเถิด เราไปเที่ยวเล่นให้สนุกดีกว่า อย่าเอาเรื่องพวกเขามาใส่ใจให้เสียบรรยากาศเลย"
หลิวจือหลินเลิกสนใจพวกบุรุษมักมากนานแล้ว ในเมื่อเรือนร่างใหม่ยังบริสุทธิ์ผุดผาด เช่นนั้นก็คิดเสียว่าตนเป็นสาวโสดไปเลยแล้วกัน ปล่อยเขาทั้งสองพลอดรักหวานชื่นจนพึงพอใจ รอจังหวะดี ๆ นางค่อยตะล่อมขอใบหย่าจากท่านโหวผู้สูงส่งเสียหน่อย
ขาเรียวก้าวขึ้นบันไดแคบทีละขั้น จากนั้นเข้าไปนั่งด้านในด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ ส่วนสาวใช้ทั้งสองมิได้ตามเข้าไป พวกนางนั่งห้อยขาขนาบข้างสารถีคนละฝั่ง
หลิวจือหลินรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่พบสาวใช้ตามเข้ามา จึงเลิกผ้าคลุมธรณีประตูขึ้น
"อ้าว ไปนั่งทำไมตรงนั้น เข้ามาสิทั้งสองคนเลย"
"แต่ว่า ฮูหยินเจ้าคะ โดยปกติท่านบอกไม่ชอบนั่งรวมกับบ่าวไพร่เนื้อตัวสกปรกเช่นพวกข้า"
นั่นปะไร หลิวจือหลินคนก่อนสร้างเรื่องไว้เยอะจริงเชียว สตรีจิตใจคับแคบ ดูเหมือนนางเข้าใจเจียงโหวสามีในนามของตนแล้วล่ะว่าเหตุใดจึงรังเกียจอีกฝ่ายนัก
หลิวจือหลินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก "มานั่งนี่ ข้างนอกแดดแรง ต่อไปก็เข้ามานั่งด้วยกันทั้งหมด" หลิวจือหลินกวักมือหย็อย ๆ
สาวใช้ทั้งสองดวงตาแดงก่ำแทบร้องไห้โฮ จากนั้นจึงเร่งเข้าไปด้านใน ฮูหยินของพวกนางเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นับจากนี้ไม่ต้องถูกทุบตีด่าทอเช่นเมื่อก่อนแล้ว
บุรุษร่างสูงยืนมองรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา หากเป็นเมื่อก่อนหลิวจือหลินเห็นเขาอยู่เบื้องหน้าต้องวิ่งร่าเข้าหาอย่างรวดเร็ว
แล้วเหตุใดยามนี้นางจึงเลือกออกไปหน้าตาเฉย แม้แต่หน้าเขานางก็ไม่มอง โหวหนุ่มขมวดคิ้วตระหนักวุ่น
"ท่านโหวเจ้าคะ"
"..."
"ท่านโหวเจ้าคะ"
เจียงซื่อจวินสะดุ้งน้อย ๆ เขาผินหน้ามองสตรีใบหน้าอ่อนหวานข้างกาย "ว่าอย่างไรหม่าเอ๋อร์"
"ท่านโหวจะกลับมาทันสำรับเย็นหรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากทำน้ำแกงบำรุงกำลังให้ท่าน"
"ไม่ล่ะ เจ้าก็รู้ข้ากลับช้าเป็นปกติ เช่นนั้นข้าไปแล้ว คราวหลังเจ้าไม่ต้องลำบากมาส่งก็ได้"
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" หม่าลี่เจี่ยยอบกายแช่มช้า นางมักพินอบพิเทากับเขาเช่นนี้เสมอ
เจียงซื่อจวินขึ้นรถม้าจากไปแล้ว หม่าลี่เจี่ยมองตามกระทั่งลับสายตา วันนี้นางสังเกตเห็นความผิดปกติจากดวงตาของเขา
รอยยิ้มละไมที่เคยประดับบนใบหน้าหุบฉับลง เสียงอ่อนหวานเมื่อครูพลิกกลับเป็นแข็งกระด้าง "เตรียมรถม้า ข้าจะออกไปข้างนอก"
เมื่อครู่เขาพูดอยู่กับนาง ทว่าแววตากลับเมียงมองไปทางเรือนตะวันออกอยู่เสมอ หนำซ้ำยามค่ำคืนเจียงซื่อจวินก็มิเคยนอนค้างอ้างแรมกับนางสักครา ถึงแม้เรือนตะวันออกเขาก็ไม่ไป ทว่าหากเขาเกิดเอนเอียงขึ้นมาจะทำเช่นไร ยามนี้นางและเขายังไม่ร่วมหอกันเสียด้วย ความโปรดปรานย่อมพลิกผันได้ทุกเมื่อ อีกทั้งคำพูดเมื่อครู่เขาแทบไม่เหลือบแลหรือไว้หน้านางสักนิด เขาทำราวกับว่านางไม่ใช่อนุของเขา ช่างน่าเจ็บใจจริง ๆ เจียงโหวเป็นบุรุษแบบใดกัน