บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 อาชีพเสริมช่วยชาวบ้าน

ผ่านมาได้สองอาทิตย์การค้าของครอบครัวสวีเป็นไปด้วยดี ลูกค้าประจำมีมากขึ้นขนาดพ่อบ้านของจวนนายอำเภอ ยังมาต่อแถวซื้อไปให้เจ้านายได้ลิ้มลอง วันนี้เป็นวันหยุดของครอบครัว ลู่ชิงอยากจะปรึกษาบิดาเกี่ยวกับผู้คนในหมู่บ้านอันผิง ว่าพวกเขาเหล่านี้มีนิสัยใจคออย่างไร คนเห็นแก่ตัวหรือขี้อิจฉา ย่อมมีอยู่ทุกที่เหมือนกันหมด หรือแม้แต่คนที่เข้าใจอะไรยาก เอาความคิดของตนเองเป็นหลัก

หากได้รับการยืนยันเรื่องพวกนี้ จากท่านพ่อและหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ บางทีนางอาจจะหาอาชีพให้พวกเขาได้ทำ จะได้มีรายได้พอจุนเจือครอบครัวเพิ่มมากขึ้น ยิ่งในฤดูหนาวนั้นทุกบ้านต้องประหยัดอาหาร ไม่แปลกที่จะมีคนตายจากการหิวโหยไม่น้อย คิดได้ดังนั้นก็รีบเดินตามหาบิดาทันที

ลู่ชิงเดินตามหาบิดาจนมาเจอที่สวนผักของบ้าน พี่ชายทั้งสองก็อยู่ด้วยกำลังช่วยกันพลิกหน้าดินแปลงผัก เพื่อจะเพาะปลูกใหม่ลู่ชิงไม่รอช้า เรียกบิดาออกไปด้วยเสียงที่ดังพอสมควร

“ท่านพ่อเจ้าคะท่านมาอยู่ที่แปลงผักนี่เอง ข้าเดินตามหาท่านให้ทั่วบ้านเลยเจ้าค่ะ”

“อ้าว ชิงเอ๋อร์ เจ้าตามหาพ่อทำไมกันมีเรื่องอะไรหรือไม่” ลู่เวินสงสัยว่าทำไมบุตรสาวถึงตามหาตนเอง

“พอดีข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษา ท่านพ่อสักเรื่องสองเรื่องเจ้าค่ะ ท่านพอจะมีเวลาคุยกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”

“เจ้ามีเรื่องอะไรไหนลองบอกพ่อมาสิ ถ้าตอบได้พ่อก็จะตอบ”

“ท่านพ่อคิดว่าชาวบ้านที่นี่เป็นคนยังไงเจ้าคะ ตั้งแต่ที่พวกเรามาอาศัยอยู่หมู่บ้านนี้ ก็ไม่ค่อยสนิทกับใครสักเท่าไหร่ ที่สนิทกันก็มีเพียงครอบครัวของบ้านท่านลุงจิ้ง กับครอบครัวของท่านป้าหยาง และบ้านท่านลุงหูเท่านั้น”

“อืม ก็จริงที่พวกเราค่อนข้างสนิทกับสองสามครอบครัวนี้ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอาจจะมีแค่บางคน ที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวเจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไมหรือชิงเอ๋อร์” ลู่เวินยังไม่เข้าใจความต้องการของลู่ชิงนัก

“ที่ถามเรื่องนี้กับท่านพ่อ เพราะอยากหาอาชีพเสริมให้ชาวบ้านทำ พวกเขาจะได้มีรายได้เพิ่ม มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอีกสักหน่อยเจ้าค่ะ ข้ามีแผนจะหาเช่าหน้าร้าน เพื่อจะทำรายการเครื่องดื่มขายอีกอย่าง จึงอยากให้ชาวบ้านทำแก้วน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ แบบมีฝาปิดขายให้พวกเรา ราคารับซื้อจะให้ใบละสองอีแปะ และยังมีกระติ๊บใส่ข้าวเหนียวขนาดไม่ใหญ่มาก ราคาใบละสามอีแปะ นอกจากนี้ยังมีถาดสานใบเล็ก สำหรับใส่ของทอดอีกราคาใบละสามอีแปะเช่นกันเจ้าค่ะ ท่านพ่อคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”

ลู่เวินได้ยินบุตรสาวพูดมาเช่นนั้น ก็อึ้งไปเล็กน้อย นี่นางถึงกับมีความคิดอยากหาอาชีพให้ชาวบ้าน ได้มีรายได้เพื่อซื้อข้าวกินให้อิ่มท้อง คงเป็นคำสัญญาที่นางได้ให้ไว้กับท่านเทพกระมัง ว่าจะทำความดีเป็นการตอบแทนสำหรับการได้เกิดใหม่อีกครั้ง ลู่จื้อและน้องชายเห็นบิดาคุยกับน้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง จึงอยากรู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกันก็รีบเดินเข้ามาหาเผื่อมีอะไรที่พวกเขาพอจะช่วยได้บ้าง

“ท่านพ่อน้องเล็ก พวกท่านกำลังคุยกันเรื่องอะไรอยู่หรือขอรับ มีอะไรให้พวกเราสองคนช่วยไหมขอรับ” ลู่จื้อเอ่ยถามบิดาก่อน

“นั่นสิขอรับท่านพ่อ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันสิขอรับ” ลู่เสียนตามน้ำพี่ชายไปอีกคน

“อ้อ ไม่มีอะไรมากหรอก น้องสาวของพวกเจ้าน่ะสิ อยากหาอาชีพเสริมมาให้ชาวบ้านได้ทำ เผื่อพวกเขาจะได้มีรายได้ยามที่ว่างเว้นจากการทำนา ด้วยการทำงานอยู่ในหมู่บ้าน ไม่ต้องลำบากออกไปหางานข้างนอกให้เสียเวลา พวกเจ้ามีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร” ลู่เวินหันไปตอบบุตรชายพร้อมคำถาม

ทั้งสองคนหันไปมองหน้าน้องสาว ก็เห็นว่านางพยักหน้าตอบกลับมา เป็นลู่เสียนที่ถามขึ้นก่อนว่า สิ่งที่น้องสาวของตนคิดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะเขากับพี่ชายมีสหายที่เคยให้ความช่วยเหลือ แต่ทุกคนล้วนต้องกินอยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์

“น้องเล็ก เจ้าจะหาอะไรให้ชาวบ้านทำเป็นอาชีพเสริม ลองบอกพี่รองบ้างได้ไหมเผื่อพี่รองจะช่วยคิดอีกแรง” ลู่เสียนชื่นชอบเป็นอย่างมาก ยามที่ลู่ชิงคิดบางสิ่งบางอย่างได้

“พวกพี่สองคนพอจะมีสหายที่รู้จักกัน ครอบครัวพวกเขาก็ลำบากอยู่ไม่น้อย ถ้าพวกเราพอมีลู่ทางหาเงินให้พวกเขาได้ทำพี่ใหญ่คิดว่าคงจะดีไม่น้อยเลย” ลู่จื้อเองก็อยากรู้รายละเอียดเช่นน้องชาย

“ขอบคุณพี่ชายมากเจ้าค่ะ ข้ามีงานสามอย่างให้ชาวบ้านเลือกทำ ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน สิ่งที่ต้องการจะมีแก้วน้ำแบบมีฝาปิดจากกระบอกไม้ไผ่ กระติ๊บข้าวเหนียวและถาดสานจากไม่ไผ่ ทั้งสามอย่างนี้เป็นผลิตภัณฑ์ทำจากไม้ไผ่ ที่ขึ้นอยู่ตรงเชิงเขาด้านหลังหมู่บ้านอันผิงนี้เป็นหลัก เพราะมันสามารถใช้งานได้หลากหลาย ชาวบ้านเองก็ไม่ต้องลงทุน เพียงแต่ลงแรงทำก็มีรายได้ไปจุนเจือครอบครัวแล้วเจ้าค่ะ” ลู่ชิงอธิบายเรื่องอาชีพเสริม ให้พี่ชายทั้งสองได้ฟังอีกครั้ง

“น้องเล็กของพี่รองคนนี้ช่างฉลาดยิ่งนัก สหายของพวกพี่พวกเขาทำงานเหล่านี้เป็น เพราะช่วยพ่อแม่สานตะกร้าไว้ไปขนฟืนจากบนภูเขา” ลู่เสียนเริ่มนึกภาพตามที่ลู่ชิงได้บอกเล่าออกมา เนื่องจากสหายของตนทำงานเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก

“น้องเล็ก เจ้าให้ชาวบ้านทำของพวกนี้ แล้วจะเอาไปทำอะไรต่อรึ” ส่วนลู่จื้อเขายังคงมีข้อสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อย

“ข้าคุยกับท่านพ่อว่าจะหาเช่าร้าน หรือซื้อเป็นของพวกเรา ถ้าราคาร้านค้ามันไม่แพงเกินไป นี่จะเป็นร้านอาหารแรกของตระกูลสวี ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ให้ชาวบ้านได้ทำ จะใส่น้ำหลากสีให้ลูกค้าซื้อกลับบ้านได้ กระติ๊บข้าวก็เอาไว้ใส่ข้าวเหนียวไม่ให้โดนลม ส่วนถาดสานไม้ไผ่ก็เอาไว้ใส่เนื้อหมูทอด น่องไก่ทอด โดยตัดใบตองให้มีขนาดพอดี ใช้รองเอาไว้

อีกชั้น สำหรับลูกค้าที่นั่งทานในร้านของเราอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ”

“ความคิดของชิงเอ๋อร์ไม่เลวเลยจริง ๆ เป็นการประหยัดเวลาหากต้องมานั่งล้างจานชาม แต่การซื้อร้านค้ามันต้องใช้เงินเยอะพอสมควรนะ แต่ตอนนี้เรื่องเงินที่มีอยู่ไม่ใช่ปัญหากับพวกเรา เพราะเงินทุนจากครั้งก่อนยังเหลืออีกหลายตำลึง ใช่หรือไม่ชิงเอ๋อร์” ลู่เวินเห็นด้วยกับบุตรสาว

“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องหาเงินมาเพิ่ม เพราะนอกจากซื้อร้านค้าแล้ว ยังต้องตกแต่งร้านค่าจ้างคนงาน และพวกท่านอย่าลืมว่าข้ามีสิ่งใดอยู่กับตัวนะเจ้าคะ จะหาเงินก้อนโตภายในวันเดียวก็สามารถทำได้เลยนะ อิอิ” ลู่ชิงย่อมเห็นด้วยเรื่องเงินทองที่ต้องใช้ การสร้างกิจการขึ้นมาสักหนึ่งอย่าง ย่อมต้องมีเงินสำรองอยู่ในมือให้มาก

ลู่เวินถึงกับตบหน้าผากตัวเองทันทีเขามัวแต่กังวลมากเกินไปจนลืมไปว่า บุตรสาวมีตัวช่วยที่แสนวิเศษอยู่กับตัว จึงทำได้เพียงหัวเราะให้กับความเขลาของตนเอง

“นั่นสิน้องเล็ก ท่านพ่อยังอายุไม่มากเท่าไหร่เลยนะขอรับ จะขี้หลงขี้ลืมเช่นนี้ไม่ได้นะ เกิดวันดีคืนดีจำท่านแม่ไม่ได้ขึ้นมา จะมิแย่เอาหรือขอรับ”

“หนอย เจ้าลูกคนนี้นี่พอมีช่องโหว่หน่อยไม่ได้เลยนะ ข้าจะลืมคนงามของข้าได้อย่างไรกัน แค่ลืมคิดถึงเรื่องนี้เจ้าถึงกับซ้ำเติมผู้เป็นบิดาเช่นนี้หรือ สงสัยอยากจะลองฝ่ามือของข้ากระมัง”

ลู่เสียนเห็นบิดาทำท่าโมโห ที่ถูกตนเองกลั่นแกล้งก็รีบไปแอบอยู่ด้านหลังน้องสาวทันที ทำให้บรรยากาศตอนนี้ครึกครื้นไม่น้อยทีเดียว

“นี่น้องรอง เจ้าจะพูดเช่นนั้นกับท่านพ่อของพวกเราไม่ได้นะ ขืนท่านพ่อเป็นอย่างที่เจ้าว่า พวกเราก็ต้องถูกลืมไปด้วยสิหากเป็นเช่นนั้นไม่เป็นผลดีแน่ ๆ” ลู่จื้อเองก็ขอร่วมหยอกล้อท่านพ่อด้วยคนก็แล้วกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ เอาล่ะ ๆ พวกท่านสองคนก็อย่าแกล้งท่านพ่ออีกเลย พวกเรามาคุยเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนเถิด พรุ่งนี้หลังจากขายของเสร็จแล้ว ท่านพ่อกับข้าจะไปสอบถามเจ้าหน้าที่ของตำบลหย่งฝูว่า มีร้านค้าที่ประกาศขายหรือไม่ ส่วนพวกท่านสองคนกับท่านแม่ ก็กลับมาพักผ่อนที่บ้านรอนะเจ้าคะ หากท่านพ่อกับข้าทำธุระเรื่องร้านค้าเรียบร้อย พวกเราจะเอาเรื่องอาชีพเสริมนี้ ไปปรึกษากับหัวหน้าหมู่บ้านดูก่อน ว่าจะเห็นด้วยและสนับสนุนแนวคิดนี้หรือไม่ ถ้าความเห็นตรงกัน

จะได้อธิบาย และนำตัวอย่างไปให้กับชาวบ้านได้ดูด้วยเจ้าค่ะ”

“ตกลงตามที่ชิงเอ๋อร์บอกมาก็แล้วกัน เรื่องร้านค้าพ่อกับชิงเอ๋อร์จะช่วยกันจัดการเอง เมื่อพวกเจ้าพากันกลับมาถึงบ้านแล้ว จงลองไปถามสหายของพวกเจ้าว่า คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้นะ แต่พ่อคิดว่าสหายของพวกเจ้า ต้องการทำงานหาเงินอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาอายุยังน้อย จะไปทำงานหนักมากก็คงไม่ไหว แต่กำชับพวกเขาหน่อยก็ดีว่า อย่าเพิ่งเอาไปพูดให้คนอื่นฟัง ก่อนที่เราจะไปปรึกษากับหัวหน้าหมู่บ้านให้เรียบร้อย พวกเจ้าเข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม”

“พวกเราเข้าใจขอรับท่านพ่อ ท่านวางใจเถิดข้าจะกำชับกับสหายให้ดีขอรับ” ลู่จื้อรับปากบิดาอย่างหนักแน่น

“ถ้ามีร้านขายของที่มีสองชั้นเราจะใช้ชั้นบนเป็นที่พักชั่วคราว เพราะข้าจะไม่ซ่อมแซมบ้านหลังนี้แต่จะสร้างหลังใหม่ดีกว่าเจ้าค่ะ” ลู่ชิงบอกความต้องการเรื่องบ้านที่เริ่มเก่า และทรุดโทรมไปตามกาลเวลา

“พ่อยกเรื่องนี้ให้ชิงเอ๋อร์เป็นคนตัดสินใจก็แล้วกันนะ”

ลู่เวินคิดว่าครอบครัวเขาก็โชคดีไม่น้อย ที่มีบุตรสาวคนนี้มาเป็นสมาชิกในบ้าน นางช่างมีความคิดที่ไม่เหมือนใคร อยากช่วยเหลือผู้อื่นแต่ก็ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน อ่อนน้อมถ่อมตนแต่ไม่ได้อ่อนแอให้ใครข่มขู่ จากนี้เขาจะช่วยนางทำการค้าให้ดี ต่อไปนางอาจจะมีสินค้าใหม่ ๆ ออกมาอีกก็เป็นได้ และในอนาคตคงเป็นอย่างที่บุตรสาวได้พูดไว้ว่า ตระกูลสวีของเขาจะร่ำรวย ไม่น้อยหน้าผู้ใดในแคว้นฉู่แห่งนี้
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel