บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ชิมอาหารก่อนทำขาย

สามวันที่ผ่านมาท่านพ่อและพี่ชายก็ขึ้นเขาไปวางกับดักสัตว์และหาของป่าอย่างอื่นตามปกติ พอจะเอาไปขายที่ตำบลลู่ชิงก็จะขอตามไปด้วยทุกครั้ง ไปถึงตำบลก็ให้ท่านพ่อไปขายเนื้อสัตว์ที่วางกับดักมาได้ที่เหลาอาหาร ซึ่งเมื่อก่อนท่านพ่อมักจะนำมาขายเป็นประจำรวมสามวันได้เงินมาสามร้อยเก้าสิบอีแปะ

ส่วนตัวลู่ชิงเดินไปร้านเครื่องประดับเพื่อเอากำไลข้อมือหยกที่ไม่ใช่หยกเนื้อดีมากนักหนึ่งวง สร้อยคอเงินพร้อมจี้หยกลายหยดน้ำหนึ่งเส้นและต่างหูไข่มุกหนึ่งคู่ออกมาขาย เถ้าแก่ร้านให้ราคาชิ้นละสามพันตำลึงเงิน ถึงจะไม่สวยมากแต่ขายได้ราคานี้ถือว่าสูงมากแล้ว

รวมแล้วตอนนี้มีเงินอยู่ทั้งหมดเก้าพันสิบสามตำลึงกับอีกสามร้อยเก้าสิบอีแปะ คงต้องแบ่งเงินไปซ่อมหลังคาบ้านสักหน่อย รอให้ทำการค้าไปสักระยะหนึ่งค่อยสร้างบ้านใหม่ที่แข็งแรงกว่านี้ หรือจะซื้อบ้านอยู่ในตำบลก็คงจะดีกว่า เพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางทุกคนจะได้มีเวลาพักผ่อนเพิ่มอีกสักหน่อย

ยามอู่วันนี้ลู่ชิงคิดว่าจะทำหมูทอด สามชั้นทอดและน่องไก่ทอด ให้กับทุกคนได้ลองชิมดูก่อนที่จะทำไปขาย ซึ่งลู่ชิงได้นำเนื้อทั้งสามอย่างออกมาจากมิติและเตรียมหมักก่อนนำไปทอด เริ่มจากทำการหมักเนื้อหมูกับสามชั้น โดยหั่นให้มีขนาดหนึ่งชุ่นใส่ชามขนาดกลางแยกกันไว้

จากนั้นก็ตามด้วยส่วนผสมในการหมักนำสามเกลอได้แก่พริกไทย กระเทียมและรากผักชีไปโขลกให้ละเอียด แบ่งใส่ทั้งสองชามและปรุงด้วยซอสถั่วเหลือง ผงปรุงรส น้ำตาลทรายและพริกไทยป่น หมักทิ้งไว้ประมาณสองเค่อ ขั้นตอนต่อมาก็นำแป้งทอดกรอบผสมกับน้ำเย็นเมื่อแป้งละลายแล้ว ก็นำเนื้อหมูที่หมักไว้มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ก่อนจะนำลงไปทอดในกระทะโดยใช้ไฟร้อนกลาง ๆ ในการทอดจนเนื้อหมูมีสีเหลืองกรอบ ก็ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมันจัดใส่จานยกไปทานได้

ลำดับต่อมาก็หมักไก่ทอดต้องใช้มีดปลายแหลมด้ามเล็ก จิ้มให้ทั่วเพื่อให้น้ำหมักซึมเข้าไปในเนื้อไก่เครื่องปรุงในการหมักประกอบด้วย แป้งข้าวจ้าวและแป้งทอดกรอบอย่างละครึ่ง สามเกลอ เกลือ น้ำตาลทรายและพริกไทย ผสมในน้ำเปล่าให้พอข้นและนำไปคลุกเคล้ากับเนื้อไก่ให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ประมาณสองเค่อเช่นเดียวกับเนื้อหมู ตั้งกระทะให้ร้อนใช้ไฟกลางนำเนื้อไก่มาชุบแป้งทอด แล้วนำไก่ลงไปทอดทีละชิ้นทอดไว้สักครู่ค่อยกลับด้าน รอให้ไก่สุกทั่วทั้งชิ้นตักขึ้น

สะเด็ดน้ำมันเท่านี้ก็เรียบร้อย

ลู่ชิงกลัวว่ากินของทอดจะทำให้ฝืดคอ จึงทำต้มจืดเต้าหู้หมูสับใส่ผักกาดขาวอีกอย่าง เริ่มจากนำหมูสับหมักกับใส่ซีอิ้วขาว พริกไทยป่นและน้ำปลาเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากันหมักทิ้งไว้ ต่อด้วยต้มน้ำเปล่าใส่กระเทียมสับ ซุปหมูก้อน พอน้ำเดือดก็ปั้นหมูสับเป็นก้อนพอดีคำลงไป ต้มพอสุกตามด้วยเกลือเล็กน้อยคอยช้อนฟองออกให้น้ำซุปมีความใส จากนั้นใส่ผักกาดขาว เต้าหู้ไข่และขึ้นฉ่าย รอไม่ถึงหนึ่งจิบชาก็ตักใส่ชามโรยด้วยพริกไทยป่นก็เป็นอันเสร็จ

เมื่อเตรียมมื้อกลางวันเสร็จแล้ว ยังไม่ทันได้ยกออกไปด้านนอก คนแรกที่ตามกลิ่นหอมของอาหารมา ก็ยังคงเป็นพี่รองคนดีคนเดิมที่ส่งเสียงมาก่อนตัวจะถึงห้องครัวเสียอีก

“น้องเล็กกกกก!! เจ้าทำอาหารที่บอกพวกเราว่าจะเอาไปขายที่ตลาดในตำบลใช่หรือไม่ กลิ่นมันหอมลอยทะลุกำแพงบ้านจนบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ คงจะทรมานกระเพาะน่าดูเชียวล่ะ” ลู่เสียนกล่าวชมฝีมือการทำอาหารของน้องสาวตน

“พี่รองก็พูดเกินไปเจ้าค่ะ รบกวนพี่รองช่วยไปตามท่านพ่อท่านแม่ แล้วก็พี่ใหญ่ให้ไปล้างมือกันก่อนค่อยมาทานมื้อกลางวันนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะยกออกไปวางที่โต๊ะอาหารรอเจ้าค่ะ” ลู่ชิงฉวยโอกาสใช้พี่ชายคนรองไปตามทุกคนมาทานมื้อกลางวัน

“พี่รองจะไปตามทุกคนเดี๋ยวนี้ เจ้ายกคนเดียวไหวหรือไม่ให้พี่รองช่วยยกออกไปก่อนดีกว่านะ” เขาไม่อยากให้น้องสาวต้องยกอาหารหลายรอบ จึงช่วยนางยกอาหารออกไปบางส่วน โดยเฉพาะถ้วยต้มจืดที่ร้อนเอามาก ๆ หากโดนลวกเข้ามีหวังปวดแสบปวดร้อนไปหลายวันแน่

“ก็ได้เจ้าค่ะพี่รองยกถาดหมูทอดกับต้มจืดออกไปให้ข้าก็แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าจะยกชามข้าวตามออกไปทีหลัง ระวังชามต้มจืดลวกมือด้วยนะเจ้าคะ”

“พี่รองจะยกอย่างระมัดระวัง น้องเล็กไม่ต้องห่วง”

เมื่อพี่รองออกไปแล้วลู่ชิงก็ยกอาหารที่เหลือตามหลังไป ทันได้ยินเสียงพี่รองเรียกทุกคนด้วยเสียงที่ดังไม่ใช่เล่นเลย 

ไม่นานครอบครัวสวีก็มานั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร และรอให้ท่านพ่อหยิบตะเกียบขึ้นก่อนเป็นคนแรก ถือว่าเป็นมารยาทของคนยุคโบราณที่ต้องให้หัวหน้าครอบครัว เป็นคนเริ่มคีบอาหารเสียก่อน คนอื่น ๆ ถึงจะเริ่มลงมือทานอาหารได้

“ท่านพ่อลองชิมดูเจ้าค่ะ ว่ารสชาติแบบนี้พอจะขายได้หรือไม่” ลู่ชิงบอกกับลู่เวินให้ลองชิมเป็นคนแรก

“ท่านพ่อชิมสิขอรับข้าเองก็อยากชิมจะแย่แล้ว” ลู่เสียนที่เห็นบิดาไม่หยิบตะเกียบเสียที จึงพูดกระตุ้นเพราะตนนั้นอยากจะชิมบ้างเช่นกัน

ลู่เวินเห็นอาการของบุตรชายคนรองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าจึงไม่รอช้าอีก เขาคีบหมูทอดเข้าปากไปพอลิ้นได้สัมผัสกับรสชาติของเนื้อหมูทอดก็ถึงกับตะลึงตาค้างทันที คนอื่นที่เห็นอาการนี้ของหัวหน้าครอบครัวก็ทำตาม พวกเขาคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็วและอาการก็ไม่ต่างจากลู่เวินแม้แต่น้อย

“ชิงเอ๋อร์!! หมูทอดของเจ้ารสชาติอร่อยมากกรอบนอกนุ่มใน แม่ไม่เคยเห็นการหมักเนื้อเช่นนี้มาก่อนเลย” ฟางซินแทบไม่อยากเชื่อว่าอาหารทอดฝีมือลู่ชิงจะอร่อยถึงเพียงนี้

“น้องเล็กอาหารจานเนื้อนี้อร่อยมากเลย ไหนจะต้มจืดนี่อีกซดแล้วคล่องคอยิ่งนัก ฝีมือการทำอาหารของเจ้าน่าจะเหนือกว่าพ่อครัวที่อยู่ตามเหลาอาหารเสียอีกนะ” ลู่จื้อลองชิมตามบ้าง

“ใช่แล้วชิงเอ๋อร์ ฝีมือการทำอาหารของเจ้า พ่อคิดว่าเก่งกาจกว่าพ่อครัวในเหลาอาหาร อย่างที่พี่ใหญ่ของเจ้าพูด แม้แต่เหลาอาหารในเมืองหลวงก็ทำไม่ได้แบบเจ้าแน่ ๆ” ลู่เวินมีโอกาสไปที่เหลาอาหารยามต้องไปเจรจาการค้าแต่ก็ไม่บ่อยมากนัก

“อี้อองอ้าอนอ้องอื๊ออนอำอ๋ายไอ้อันแอ้แอ้เอย (พี่รองว่าคนต้องซื้อจนทำขายไม่ทันแน่ ๆ เลย)” ลู่เสียนพูดทั้งที่ยังมีอาหารอยู่ในปาก ทำเอาฟางซินผู้เป็นมารดาทนไม่ไหวต้องเอ่ยตักเตือนกันเล็กน้อย

“เสียนเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท เจ้าควรเคี้ยวอาหารให้เสร็จก่อนค่อยพูด อาหารเต็มปากเช่นนั้นใครจะฟังเจ้ารู้เรื่องกัน หากยังมีครั้งหน้าแม่จะลงโทษเจ้า” ฟางซินถลึงตาดุบุตรชายคนรองและได้คาดโทษเอาไว้

“อึก ขออภัยขอรับท่านแม่ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก แต่อาหารที่น้องเล็กทำอร่อยทุกอย่างจริง ๆ นะขอรับ ข้าอยากจะไปเปิดแผงขายอาหารเสียเดี๋ยวนี้” ลู่เสียนทำหน้าดั่งคนกำลังฝันกลางวัน

“พ่อคิดว่าคนต้องชอบอาหารชนิดนี้แน่นอน ยิ่งเวลาทอดกลิ่นหอมของมันลอยไปไกล ย่อมเรียกลูกค้าให้ตามมาได้ไม่ยาก” ลู่เวินคิดว่าอาหารของบุตรสาวอร่อยแบบนี้ต้องขายดีมากแน่ ๆ

“ถ้าเช่นนั้นอีกสองวันพวกเราก็เริ่มทำขายกันดีไหมเจ้าคะ พรุ่งนี้ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ไปจองพื้นที่สำหรับขายของไว้ก่อน ส่วนท่านแม่พี่รองและข้าอยู่ช่วยกันเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมจะได้ไม่ฉุกละหุกเจ้าค่ะ”

ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันและตั้งหน้าตั้งตาทานข้าวมื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย แม้แต่ต้มจืดก็ไม่เหลือน้ำซุปให้เห็นสักหยด แบบนี้คนทำก็มีกำลังใจขึ้นเยอะทีเดียว ภารกิจแรกในการหาเงินได้เริ่มขึ้นแล้ว

วันถัดมาลู่เวินกับลู่จื้อเดินทางเข้าไปในตำบลหย่งฝู เพื่อจับจองพื้นที่สำหรับขายอาหารกับเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการประจำตำบล พวกเขาจองไว้เป็นเวลาหนึ่งเดือน เพราะดูแล้วน่าจะประหยัดกว่าที่จะต้องจ่ายให้เจ้าหน้าที่ทุกวัน

มีชาวบ้านบางคนเห็นลู่เวินมาจับจองที่ทางในตลาด ก็อยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกินก่อนจะทำเป็นเดินผ่านไปใกล้ ๆ และพูดทักทายคล้ายบังเอิญว่าเพิ่งจะมองเห็นคน ซึ่งในความเป็นจริงแค่อยากเผือกเรื่องผู้อื่น จะได้มีเรื่องเอาไปนินทากับเหล่าสหายของตนเท่านั้น

“อ้าวลู่เวิน เจ้ากับลูกชายมาทำอะไรกันที่นี่เล่า วันนี้ไม่ขึ้นเขาไปวางกับดักสัตว์กันแล้วหรือ”

“อ้อ ครอบครัวของข้าจะหยุดล่าสัตว์ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเพราะจะลองเปลี่ยนอาชีพทำอาหารมาขายที่นี่ จึงมาจับจองสถานที่ไว้ก่อนน่ะ”

“งั้นรึ พวกเจ้าจะทำอาหารอะไรมาขายเล่า ว่าก็ว่าเถิดนะลู่เวินภรรยาของเจ้าทำอาหารพอกินได้ ไม่ได้อร่อยอะไรมากมายจากที่เคยชิม ถ้าทำอาหารมาขายจะไม่เสียของหรอกรึ ข้าแค่หวังดีไม่อยากให้พวกเจ้าต้องขาดทุนกับการค้าแบบนี้ ลูกสาวเจ้าก็เพิ่งจะหายป่วยเก็บเงินไว้รักษานางไม่ดีกว่าหรือ”

“ขอบคุณท่านป้าทั้งหลายที่หวังดี แต่ถ้าความหวังดีที่แฝงด้วยความสมเพช พวกท่านเก็บมันกลับไปด้วยเถิดอย่าพูดทิ้งขว้างไว้แถวนี้ ไม่มีใครอยากได้ความหวังดีเช่นนี้หรอกขอรับ” ลู่จื้อที่ไม่ชอบป้าข้างบ้านพวกนี้ตอบกลับไปอย่างเจ็บแสบ

“นี่! เป็นเด็กแต่พูดกับผู้อาวุโสเช่นนี้ได้อย่างไรใครสั่งใครสอนเจ้ากัน ฮึ่ย ลู่เวินดูลูกชายของเจ้านะการพูดจาเช่นนี้ไม่มีความนับถือผู้อาวุโสต่อไปจะเจริญได้หรือ”

“นั่นมันก็เรื่องของครอบครัวข้าเกี่ยวอะไรกับพวกท่านป้า ยุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่วจริง ๆ รีบกลับไปเตรียมอาหารให้สามีท่านป้าเถิด” ลู่จื้อเองก็ไม่เคยคิดจะยอมให้คนพวกนี้เช่นกัน ไม่สนิทชิดเชื้อฐานะตนเองก็มิได้ต่างจากพวกตน แต่มักนินทาคนในหมู่บ้านลับหลังเป็นประจำ

“จะ จะ เจ้า ข้าจะคอยดูว่าการค้าของพวกเจ้ามันจะขายดีสักแค่ไหนเชียว เชอะ!!”

“ขอบคุณที่อวยพรเชิญพวกท่านตามสบาย รอดูต่อไปเถิดว่าการค้าขายของครอบครัวข้าจะดีหรือแย่ อีกไม่กี่วันจากนี้หูของพวกท่านจะได้ยินแต่เรื่องกิจการของพวกเรา” ลู่จื้อไม่วายตะโกนตามหลังพวกนางอย่างไม่ยอมลดละ

“เจ้านี่ก็นะอาจื้อไปพูดจากวนอารมณ์พวกนางทำไม คนแก่อายุมากเช่นนั้นอารมณ์ยิ่งไม่คงที่ เดี๋ยวก็หาเรื่องพูดจากระทบกระเทียบตอนที่พวกเราสองคนกลับบ้านอีกแน่ ๆ” ลู่เวินบ่นกับบุตรชายคนโตที่ไม่ยอมคนสักเท่าใดนัก

“ช่างคนพวกนั้นเถิดขอรับคนแบบนี้ไม่น่ากลัวเลยท่านพ่อ ถึงเวลาคนอื่นเอาจริงขึ้นมาก็กลัวหัวหดทุกที พวกเราไม่ควรอยู่เฉย ๆ อีกนะขอรับ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะยิ่งได้ใจพูดจาดูถูกไม่หยุดอีก” เพราะอดทนมามากจนเกินพอ ลู่จื้อจึงทนไม่ไหวในครั้งนี้

“ถ้าไม่รุนแรงหรือมีผลกระทบกับพวกเราก็ปล่อยไปก่อนเถิด ตอนนี้เตรียมพื้นที่ร้านให้เสร็จก่อนจะได้กลับไปช่วยแม่ของเจ้ากับน้อง ๆ จัดของที่จะนำมาวันพรุ่งนี้กัน” ลู่เวินตัดบทเรื่องของป้าข้างบ้านทั้งหลาย เพื่อทำงานตรงหน้าเสียก่อน

“ขอรับท่านพ่อ”

ลู่เวินเข้าใจบุตรชายดีว่ามีบางคนในหมู่บ้านไม่ชอบครอบครัวของตน หรืออาจจะไม่ชอบตั้งแต่มารดาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ตัวลู่เวินก็อดทนมองข้ามคนเหล่านี้หากไม่ทำให้ครอบครัวตนเดือดร้อน

ครั้งนี้ถ้าตนทำการค้าได้ดีคงจะหาเรื่องมาประชดประชันอีกแน่ ถ้ายังไม่หยุดคงต้องให้ท่านอาหลิ่วช่วยจัดการพวกนางบ้างจะได้สงบปากสงบคำลงเสียที เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยลู่เวินกับลู่จื้อเร่งฝีเท้าเดินกลับบ้านของตน
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel