บทที่ 5 เลือกแม่พันธุ์
บทที่ 5
เลือกแม่พันธุ์
แผงปลา
ดวงตาคมกร้าวของหยางโหวนั้นกวาดมองไปทั่วอย่างเลื่อนลอย ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาล้วนเลือนรางไร้ค่าแก่การจดจำ
จนกระทั่งสายตาของเขาไปหยุดยังสตรีที่มีร่างกายบอบบางที่สุดในสตรีทั้งเจ็ด ผิวของนางขาวซีดราวกับไม่เคยโดนแดด ในขณะที่ผมของนางดำขลับตัดกับผิวสีซีดยิ่งทำให้นางดูอ่อนแอราวกับจะแหลกสลาย
แต่ทว่า...
นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่กล้ามองสบตาเขาโดยตรง ดวงตาของนางแวววาวสุกสกาวราวกับเก็บเอาดวงดาวบนท้องฟ้ามาร้อยเรียงเอาไว้
สตรีคนอื่นๆ มีบ้างที่เงยหน้าขึ้นสบตาเขา แต่เพียงครู่เดียวพวกนางก็ต้องก้มหน้ามองปลายเท้า จากนั้นพวกนางจึงค่อยๆ ลอบมองเขาอย่างเงียบๆ ทว่าสตรีผู้นั้นกลับสบตาเขาโดยไม่หลบ
‘อา...ช่างน่าสนใจเสียแล้วสิ’
หยางโหวหัวเราะในลำคอ ที่อย่างน้อยๆ การเลือกภรรยาตามคำขอครั้งที่เจ็ดสิบหกของฮ่องเต้ก็ไม่ได้น่าเบื่อจนเกินไปนัก
“หยางโหวเจ้าจงค่อยๆ เลือกภรรยาเถอะ ข้าไม่ได้เร่งร้อน เจ้าจะค่อยๆ ชวนพวกนางแต่ละคนพูดคุยทำความรู้จัก หรือจะชวนไปเดินชมดอกไม้ก็ย่อมได้ ข้ามีเวลาเพื่อให้เจ้าได้เลือกคู่ครองตลอดทั้งวัน”
แผนการกว่าห้าปีกำลังจะสำเร็จ มีหรือโอรสสวรรค์จะไม่ดีพระทัย พระพักตร์ของพระองค์จึงได้เบิกบาน พระโอษฐ์แย้มสรวลดั่งแย้มยิ้มตลอดเวลา
“กระหม่อมจะเลือกเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ใบหน้าผ่อนคลายของโอรสสวรรค์ถึงกับถอดสีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เจ้าว่าอะไรนะ”
ทรงทวนถามด้วยความงุนงง สหายสนิทจะเลือกภรรยาโดยไม่คิดจะทำความรู้จักพูดคุยกับพวกนางทั้งเจ็ดเลยงั้นหรือ
จะ...จะหยาบคายเกินไปแล้ว!
‘นี่เจ้าคิดว่ากำลังเลือกปลาบนแผงในตลาดหรืออย่างไรกันเล่า! หนึ่งในสตรีทั้งเจ็ดจะเป็นคู่ชีวิตของเจ้าหาใช่ปลาที่เจ้าจะซื้อไปต้มไปแกง!’
ยังไม่ทันได้รับคำตอบหยางโหวก็แผ่ปราณสังหารใส่สตรีที่ยืนเรียงแถวอยู่เบื้องหน้าชนิดที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว แน่นอนว่ามีเพียงม่านลี่เซียนที่ตั้งรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว
ม่านลี่เซียนเกร็งขาให้ยืนนิ่ง ขาที่นางออกวิ่งทุกเช้า ขาที่ย่อกายนั่งเก้าอี้ลมโดยอุ้มหินก้อนใหญ่เอาไว้ ขาที่วิ่งขึ้นลงบันไดราวกับหญิงบ้า เวลานี้นางยังคงยืนแผ่นหลังตรงได้อย่างสง่างาม พลางสูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียดภายในร่างกายยามเมื่อปะทะกับปราณสังหาร
ในขณะที่ดวงตากลมโตจ้องมองบุรุษผู้มีฉายาหมาป่าโลหิตอย่างไม่วางตา
เวลานี้สติคือสิ่งที่สำคัญที่สุด หากนางว่อกแว่กขาดสติ ความกลัวก็จะปราดเข้าครอบงำทำให้นางเสียขวัญจนอาจทำให้แผนการทั้งหมดพังทลายลง
กรี๊ด!
เสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญระงมไปทั่วศาลา สตรีทั้งห้าทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น คุณหนูเจียงซือเป่าร้องไห้โฮออกมาด้วยท่าทางหวาดผวา หลี่ไฉ่หงมือสั่นตัวสั่นงันงกแทบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่ หวังเนี่ยนเจินและหมิงเยว่จวนกอดกันร่ำไห้ราวกับว่ากำลังรับโทษประหาร ในขณะที่หลิงจิวฮวาเงยหน้ามองชายที่นางแอบรักราวกับตัดพ้อเสียใจ
เวลานี้เหลือเพียงไท่จูเจียวและม่านลี่เซียนที่ยังคงยืนอยู่ ในขณะที่นางกำนัลและมหาดเล็กที่อยู่บริเวณนั้นต่างล้มกลิ้งลงไปกับพื้นด้วยถูกพลังปราณพัดกระหน่ำอย่างแรง
แล้วในที่สุดไท่จูเจียวก็ล้มลงไปเป็นคนที่หก เหลือเพียงม่านลี่เซียนที่ยังคงยืนนิ่งพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาแดงกร้าวของหมาป่าโลหิต
ทันใดนั้นเองปราณสังหารก็สงบลง ข้าราชบริพารและบ่าวไพร่ต่างยกมือขึ้นทาบอก ดีใจที่ตนเองรอดตายอย่างหวุดหวิด ในขณะที่โอรสสวรรค์ถึงกับพระพักตร์ถอดสี เพราะสตรีเหล่านี้ล้วนเป็นบุตรสาวของขุนนางระดับเสนาบดี แน่นอนว่าพระองค์คงต้องชดเชยและปลอบขวัญให้พวกนางเป็นการใหญ่
“ท่านโหว! เหตุใดท่านจึงทำร้ายพวกข้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
หลิงจิวฮวาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ โดยยังมีเสียงร้องไห้งอแงของเจียงซือเป่าดังไม่หยุด จนฮ่องเต้ต้องโบกพระหัตถ์เพื่อให้นางกำนัลพาคุณหนูเจียงไปยังเรือนรับรองเพื่อสงบสติอารมณ์เสียก่อน
“ท่านโหว...”
ราวกับเสียงของคุณหนูหลิวจิวฮวาไม่อาจส่งไปถึงชายหนุ่มที่นางพึงใจ นางถึงกับสะอื้นในอก เมื่อชายหนุ่มที่นางมีใจไม่แม้แต่จะชายตาแลหรือตอบคำถามของนางเลยด้วยซ้ำ ดวงตาของเขาจดจ้องไปยังคุณหนูม่าน ซึ่งเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ทนรับปราณสังหารได้
