ปรารถนา ที่ 2-2 เสียงในใจที่ดังออกมา
“แม่นมเราเหลือเวลากี่ชั่วยามกว่าท่านพ่อท่านแม่จะเดินทางมาถึง”
“อีกสี่ถึงห้าชั่วยามเจ้าค่ะ นายท่านและฮูหยินน่าจะเดินทางมาถึงช่วงพลบค่ำพอดี”
“เช่นนั้นข้าอยากนำไข่มุกนี้ไปหุ้มตัวเรือนเป็นจี้สายสร้อย แม่นมพอจะรู้จักช่างที่ไว้ใจได้และทำงานได้อย่างเรียบร้อยรวดเร็วหรือไม่ เพราะไข่มุกเม็ดนี้สำคัญกับข้ามาก”
/ตายจริง! คุณหนูของข้าพูดจาราวกับผู้ใหญ่ ช่างน่ารักเหลือเกิน/
“มีเจ้าค่ะคุณหนู ช่างคนนี้เป็นหลานชายของข้าเอง เป็นคนมีฝีมือและทำงานได้อย่างรวดเร็วเจ้าค่ะ”
“ไข่มุกเม็ดนี้แปลกตาเหลือเกินเจ้าค่ะคุณหนู ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
จิงเหอพูดขึ้นพลางยื่นหน้าไปมองไข่มุกในมือเจ้านายตัวน้อย ปกติแล้วนางจะรู้จักเครื่องประดับของคุณหนูทุกชิ้น ทว่าชิ้นนี้กลับไม่เคยเห็นผ่านตา อีกทั้งตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นไข่มุกสีรุ้งแปลกตาเช่นนี้เลย
“ไข่มุกนี้สำคัญกับข้ามาก มันมีค่าเทียบเท่ากับชีวิตของข้าเลยทีเดียว”
หลี่เยว่ชื่อเลือกที่จะไม่ตอบ แต่กลับย้ำชัดถึงความสำคัญ เพื่อหวังให้แม่นมและสาวใช้ส่วนตัวช่วยระมัดระวังและดูแลของสิ่งนี้
/สงสัยจะเป็นของขวัญจากท่านประมุขสินะ ก็ท่านประมุขรักคุณหนูมากขนาดนั้น ย่อมต้องสรรหาของหายากมาให้คุณหนูอยู่แล้ว/
เด็กหญิงวัยเก้าขวบได้ยินเสียงในใจของสาวใช้ หยักยิ้มน้อยๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดว่าบิดาเป็นคนมอบให้น่าจะดีที่สุด เพราะหากต้องสืบสาวถึงที่มาที่ไปของไข่มุกเม็ดนี้ มันจะกลายเป็นเรื่องราวปาฏิหาริย์ที่ผู้ใหญ่จะคิดว่านางเพ้อฝันแต่งแต้มเล่าเรื่องราวขึ้นมาตามจินตนาการ
“แม่นมรอเดี๋ยวนะ...ข้าจะวาดแบบให้”
ร่างเล็กป้อมก้าวยาวๆ ไปยังโต๊ะอ่านตำรา ก่อนจะฝนหมึกอย่างชำนาญโดยใช้มือขวาฝนหมึกมือซ้ายจับชายแขนเสื้อเอาไว้ จากนั้นจึงจุ่มพู่กันลงในน้ำหมึกแล้วตวัดลายเส้นบนกระดาษอย่างรวดเร็ว
/ทะ...ท่าทางคุณหนูของข้าราวกับนักปราชญ์ตัวน้อยก็ไม่ปาน ข้าอยากให้นายท่านและฮูหยินได้เห็นจริงๆ ในที่สุดคุณหนูของพวกเราก็เติบโตขึ้นไปอีกก้าว ต่อให้ข้าตายก็ตายตาหลับแล้ว/
/ดูท่าทางจริงจังนั่นสิ จิงเหอคนนี้อยากจะเข้าไปกอดฟัดเสียจริงๆ/
เขินเหมือนกันนะ...
เยว่ชื่อก้มหน้าราวกับตั้งใจเขียน ทว่าอันที่จริงแล้วใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยิ่งได้ยินความคิดของแม่นมที่เลี้ยงดูนางราวกับมารดา และสาวใช้ที่ดูแลนางราวกับพี่สาว นางก็ยิ่งเขินอายจนเกือบจะเผลอยิ้มออกมาเสียหลายครา
ชาติก่อนข้ารู้ว่าแม่นมกับอาจิ้งรักข้า แต่ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทั้งสองจะคลั่งรักข้ามากขนาดนี้ เรียกได้ว่าไม่ว่าข้าจะขยับตัวทำสิ่งใดก็ดีงามไปเสียหมดเลยทีเดียว
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่นมช่วยนำกระดาษแผ่นนี้ไปให้ช่างด้วยนะ บอกให้ช่างตีทองคำขาวหุ้มตัวเรือนไข่มุก ห้ามเจาะไข่มุก หรือห้ามทำให้ไข่มุกเป็นรอยโดยเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
/ฝีมือวาดรูปของคุณหนูช่างงามนัก จิตรกรตัวน้อยได้ถือกำเนิดขึ้นบนผืนแผ่นดินแล้ว เห็นทีว่าคุณหนูของข้าคงเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย/
/คุณหนูไปเรียนรู้การหุ้มตัวเรือนด้วยทองคำขาวมาจากไหนนะ เมื่อไม่กี่วันก่อนคุณหนูของข้ายังสนใจแต่ผ้าผูกผมและดอกไม้หลากสีอยู่เลย ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาข้าจะใส่ใจคุณหนูน้อยลงไปมาก จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่ทันสังเกตเห็น ข้าพลาดการเติบโตขึ้นอย่างงดงามของคุณหนูไปหรือนี่ ไม่ได้การจิงเหอคนนี้จะต้องตามติดคุณหนูทุกฝีก้าว/
แคกๆ
คนตัวเล็กที่กำลังหยิบชาขึ้นจิบถึงกับสำลักเมื่อได้ยินแม่นมยกย่องนางให้เป็นอัจฉริยะ ส่วนสาวใช้ส่วนตัวก็ปาวารณาจะตามติดนางราวดั่งเงา
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
แม่นมปราดเข้ามาประคองด้วยความห่วงใย รีบคว้าผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาซับที่ริมฝีปาก ในขณะจิงเหอปราดเข้ามาใช้ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแผ่วเบา
อบอุ่นเหลือเกิน
คนตัวเล็กมองหน้าแม่นมกับสาวใช้ส่วนตัวด้วยดวงตาวาวระยับ ความห่วงใยและความรักของทั้งคู่ทำให้เยว่ชื่อรู้สึกราวกับได้รับการปลอบประโลมหัวใจที่แสนบอบช้ำ
ชาติก่อนนั้น...
ข้าไม่หลงเหลือคนข้างกายเลยแม้แต่คนเดียว ข้าใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในจวนของสามี และหนีไปตายยังเกาะห่างไกลผืนแผ่นดินที่แสนกันดาร
ช่างน่าอนิจจาเหลือเกิน
“ขอบคุณนะแม่นม ขอบคุณที่ดูแลข้ามาโดยตลอด”
“โถวคุณหนูไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกเจ้าค่ะ แม่นมคนนี้เต็มใจทำทุกอย่างเพื่อคุณหนู”
แม่นมยิ้มจนหน้าแดงก่ำ เมื่อมือเล็กๆ ของคุณหนูกอบกุมมือเหี่ยวย่นของตนเอาไว้
/วันนี้คุณหนูน่ารักมากจริงๆ ขากลับข้าคงต้องแวะตลาดซื้อถังหูลู่ที่คุณหนูโปรดปรานกลับมาฝากเสียแล้ว/
“ขอบคุณนะอาจิ้ง ขอบคุณที่ช่วยดูแลและอดทนเวลาที่ข้าดื้อรั้นเอาแต่ใจ”
“โถวคุณหนูของข้า ช่างน่ารักเหลือเกินเจ้าค่ะ ตัวเล็กแค่นี้แต่รู้จักขอบคุณเสียแล้ว”
/คุณหนูของข้าดีที่สุด ข้าต้องไปเล่าให้สาวใช้จวนอื่นฟังเสียแล้ว ว่าคุณหนูของข้างดงามอ่อนโยนและประเสริฐมากขนาดไหน/
เยว่ชื่อถึงกับอมยิ้มกับแผนการโอ้อวดของสาวใช้ส่วนตัว ก่อนจะเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อทบทวนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
วันนี้แล้วสินะ...
วันที่บิดามารดาเดินทางกลับมาจากแคว้นฮุยผิงหลังจากไปร่วมงานศพของสหายสนิทที่มาด่วนจากไปก่อนวัยอันควร แล้วยังได้รับบุตรสาวเพียงคนเดียวของสหายผู้ล่วงลับกลับมาอุปการะเลี้ยงดูอีกด้วย
คิดถึงจัง
‘กงลี่อิน’ น้องสาวบุญธรรมของข้า ชาติก่อนข้ากับน้องสาวสนิทสนมกันมาก เรานอนด้วยกัน กินด้วยกัน วิ่งเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
ลี่อินคือคนที่ข้าไว้วางใจมากที่สุด หากข้าไม่ต้องหนีตายจากการถูกตามไล่ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ข้าก็คงหนีร้อนไปขออาศัยอยู่กับน้องสาวบุญธรรมผู้นี้
เชื่อเหลือเกินว่าน้องสาวที่น่ารักคงยินดีอ้าแขนต้อนรับข้าไปอยู่ด้วย เฉกเช่นที่ครอบครัวของข้าเคยช่วยเหลือเจือจุนมาโดยตลอด
