บทที่ 13 แผนการตื้น ๆ มีมือที่สามรับรู้ 1/2
หยางซิวหรงพยักหน้าอันเคร่งขรึมเมื่อน้องสาวกล่าวเช่นนี้ เขาจึงแบ่งฝั่งว่าใครควรไปกับใคร “ใช่แล้วพี่เสวี่ยหลิน พวกเราแยกเป็นสองกลุ่มท่านมากับข้า ส่วนพี่เหยาเหวินไปกับเซียนเอ๋อร์ หลังจากจัดการเสร็จค่อยกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงเวลานั้นงานเลี้ยงคงเริ่มพอดีขอรับ”
“อืม เช่นนั้นพวกเรารีบลงมือเถิด ข้าเกรงว่าจะมีคนเป็นนกสองหัวอยู่ในจวน” ฟงเสวี่ยหลินแค่เกริ่นถึงเรื่องที่องครักษ์ของตน นำข้อมูลบางอย่างมารายงานเมื่อวันก่อน
ภายหลังได้ข้อสรุปทั้งสี่คนจึงแบ่งอุปกรณ์ในลังไม้ และแยกย้ายไปติดตามจุดที่คิดว่าเหมาะสม หยางซิวหรงกับหยางเฟิ่งเซียนได้ยินเสียงจีจี้ ที่คอยแนะนำว่าควรติดกล้องไว้จุดใดบ้าง จากการเฝ้าอยู่หน้าจอในมิติซึ่งก่อนหน้านี้ จีจี้ได้ส่งโดรนรุ่นใหม่ล่าสุดไปบินสำรวจไว้แล้ว
เพราะเป็นงานที่ไม่ยุ่งยากทั้งสี่คนจึงจัดการได้รวดเร็ว และกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างสบายใจ ก่อนจะพากันไปยังโถงรับรองของเรือนหน้า ซึ่งยามนี้แขกมาร่วมงานเลี้ยงทยอยมาถึงกันแล้ว นอกจากนี้ยังมีองค์หญิงใหญ่ที่มากับพระสวามี การจัดโต๊ะที่นั่งจึงต้องแบ่งแยกอย่างชัดเจน
เสียงพิณดีดกังวานผสมเสียงเครื่องสายหวานหู กลิ่นกำยานจันทน์หอมละมุนลอยฟุ้งทั่วเรือนรับรองของตระกูลฟง และที่นี่ยังประดับประดาไปด้วยโคมผ้าหลากสี เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วจากเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ ดังกระซิบกระซาบอย่างสนุกสนานอยู่อีกมุมหนึ่งของเรือนแห่งนี้ ทำให้บรรดาฮูหยินทั้งหลายต่างยิ้มหน้าบานไปตาม ๆ กัน
หยางเฟิ่งเซียนนั่งร่วมโต๊ะกับท่านหญิงฉิง ธิดาเพียงคนเดียวจากจวนท่านอ๋องฉิงเว่ยฉี นางสวมชุดผ้าไหมพื้นสีขาวอมเขียวอ่อน ปักลวดลายเป็นดอกป่ายเหอสีขาว ไล่จากอกลงไปถึงชายกระโปรงและปลายแขนเสื้อ ผมยาวถักรวบสูงด้วยปิ่นเงินที่ได้จากมารดา ดวงหน้าได้รูปของนางขาวกระจ่างยิ่งกว่าจันทร์เพ็ญ
สายตาหญิงสาวหลายคนมองนางด้วยความริษยา ยิ่งเมื่อเห็นบุตรชายขุนนางที่มาร่วมงานแอบเหลียวแลมิละสายตา ยิ่งเพิ่มความริษยาภายในใจให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่พวกนางก็ทำได้แค่ริษยาไม่อาจทำอันใดได้มากกว่านี้
แต่มิใช่กับเซิ่งฟางเอินและหลีเยียนหราน ซึ่งแสดงความเกลียดชังผ่านดวงตาของพวกนางอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลีเยียนหรานที่ไฟริษยากำลังสุมอก เมื่อเห็นว่าฟงเหยาเหวินเอาอกเอาใจหยางเฟิ่งเซียนเพียงใด
“ฮึ่ย ดูนางสิมือไม้ตนเองก็มีไม่ทำเอง กลับใช้ให้คุณชายเล็กฟงคอยคีบอาหารให้นาง ช่างไร้ยางอายสิ้นดีเจ้าว่าหรือไม่ฟางเอิน”
ส่วนเมิ่งฟางเอินที่มองหยางเฟิ่งเซียนด้วยความเกลียดชัง มือบางจับถ้วยชาไว้แน่นเพื่อระบายความโกรธเกลียด “หึ วันนี้ข้าจะให้นางอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียงให้ดู เยียนหรานเจ้าให้คนไปตามสาวใช้นางนั้นมาพบข้าได้แล้ว ถึงเวลาที่คุณหนูผู้เลอโฉมจากตระกูลหยาง จะถูกผู้คนนินทางไปทั่วทุกตรอกในเมืองหลวงแล้ว”
“อืม เสี่ยวขุยเจ้ารีบไปตามสาวใช้ผู้นั้นมาเร็วเข้า ยามนี้แขกเหรื่อในงานยังอยู่กันจำนวนมาก พวกเขาจะได้ช่วยเป็นพยานให้กับความอัปยศของหยางเฟิ่งเซียน”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปตามนางมาเดี๋ยวนี้”
ทุกคำพูดหรือแม้แต่ท่าทางของสตรีทั้งสอง ที่นั่งอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในศาลากลางน้ำ ผู้ช่วยอันดับหนึ่งของซูอันล้วนได้ยินอย่างชัดเจน จึงเริ่มปฏิบัติการรายงานสถานการณ์กับซูอัน รวมถึงบุตรทั้งสองของเจ้านายอย่างทันท่วงที
[นายหญิง คุณชายใหญ่ คุณหนู จีจี้ทราบตำแหน่งผู้ต้องสงสัย ที่คิดทำร้ายคุณหนูในงานเลี้ยงได้แล้วเจ้าค่ะ]
หลังจากได้รับสัญญาณจากจีจี้ ทั้งซูอันและบุตรทั้งสองจึงปลีกตัวออกมาให้ห่างผู้คน เพื่อสอบถามรายละเอียดของเรื่องราวดังกล่าว เพราะอยากรู้ว่าใครกันที่คิดทำเรื่องชั่วช้าในจวนผู้อื่นเช่นนี้
‘อยู่ที่ใด? /นางคือใคร? /นางคิดจะทำสิ่งใด?’
[พวกนางสองคนเป็นสหายกัน คนหนึ่งชื่อฟางเอินส่วนอีกคนชื่อเยียนหราน พวกนางได้ซื้อตัวสาวใช้ในจวนไว้ เพื่อทำบางอย่างให้คุณหนูต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะอิจฉาริษยาความงามของคุณหนู รวมถึงสิ่งที่คุณชายฟงทั้งสองคอยดูแลท่านอย่างดี ทำให้พวกนางสองคนอยากทำร้ายท่านเจ้าค่ะ]
‘หนอยยย ที่แท้ก็เป็นพวกนางสองคนนี่เอง ทุกทีก็เสแสร้งเป็นสตรีอ่อนหวานไร้เดียงสาต่อหน้าผู้คนไปทั่ว แต่ภายในจิตใจกลับซ่อนความคิดชั่วร้ายไว้จนทนไม่ไหวแล้วกระมัง’
‘หึ พวกนางช่างกล้าคิดทำร้ายน้องสาวของข้าเชียวรึ ความอัปยศที่คิดจะมอบให้น้องสาวข้าไม่มีทางให้เกิดขึ้นแน่’
‘จีจี้เจ้ารอฟังพวกนางอีกสักหน่อย ว่านางต้องการให้สาวใช้ผู้นั้นทำสิ่งใดกับบุตรสาวของข้า แล้วรีบรายงานกลับมาโดยเร็ว’
[รับทราบเจ้าค่ะนายหญิง]
สามคนแม่ลูกยังคงไม่กลับเข้าไปร่วมโต๊ะ ด้วยต้องการฟังข่าวจากจีจี้ว่าแผนการของเมิ่งฟางเอินคืออะไรกันแน่ จะมีเพียงสองพี่น้องตระกูลฟงที่เอ่ยขอตัวเดินออกมาสมทบกับญาติผู้น้อง แต่พวกเขากลับได้รับสัญญาณว่าให้รออยู่เงียบ ๆ อย่าเพิ่งพูดสิ่งใด