ตอนที่ 2 พิจารณาของเล่น
เด็กสาวลูกครึ่งเดินตามหลังตาเข้ามาในรั้วบ้านเจ้านายของตา ในมือหิ้วกระเป๋าเป้พร้อมที่จะย้ายเข้ามาทำงาน ตลอดทางเข้าบ้านเธอไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการเข้ามาทำงานแลกเงิน
“ตา ไหนคุณของตาล่ะคะ” มะนาวถามด้วยความสงสัยเพราะบ้านปิดเงียบเหมือนกับไม่มีใครอยู่
“คุณเขาคงออกไปทำธุระ เรานั่งกันก่อน”
“ตา…” ในสมองมีคำถามจะถามต่อ แต่ตาแสงกลับเดินไปสวนหลังบ้าน ดูนู้นดูนี่ไปเรื่อย ปล่อยให้หลานสาวนั่งรอไม้หินอ่อนหน้าบ้านคนเดียว อย่างกับเลี่ยงคำถามบางอย่าง
เข็มนาฬิกาเดินไม่หวนกลับจากบ่ายโมง กระทั่งเลยไปสามโมงก็ไม่มีวี่แววเจ้าของบ้าน
“ไหนตาบอกว่านัดคุณของตาบ่ายโมงล่ะจ๊ะ นี่เรามานั่งรอตั้งสองชั่วโมงแล้ว ทำไมคุณของตายังไม่กลับบ้านอีก” คนรอมานานเริ่มเหนื่อย ออกอาการชัดผ่านสีหน้า
“สงสัยคุณเขาคงลืมละมัง” ความสับสนคืบคลานเข้ามาในความคิดคนเป็นตา ทว่าอีกใจก็อยากให้หลานสาวเรียนสูง ๆ อย่างน้อยเวลาที่เขาไม่อยู่แล้ว หลานสาวยังมีทรัพย์สินที่ใครก็เอาไปไม่ได้ ส่วนเรื่องที่ต้องแลกกับค่าเทอมมันก็คุ้มกันทั้งสองฝ่าย
“ลืม!? คนรวยนี่ยังไงกัน ไม่เห็นหัวใครเลยใช่ไหม” เพราะรอมานานจึงทำให้มะนาวอดที่จะต่อว่าไม่ได้
“มะนาว! อย่าพูดอย่างนี้ให้ตาได้ยินอีก อยู่ที่นี่ คุณเขาให้ทำอะไรก็ทำไป จำเอาไว้ว่าเขาจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูเราทุกบาททุกสตางค์หลังจากนี้”
“นาวก็แค่…”
“พอ ๆ ตาไม่ชอบพูดถึงใครลับหลัง”
ตลอดเวลาการนั่งรอมะนาวถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ทำได้แค่รอ ก็ชีวิตเธอไม่มีทางเลือกนี่
กระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนสี เสียงรถดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ สองตาหลานลุกจากไม้หินอ่อนรอรับเจ้าของบ้าน
หนุ่มเหนือมาดสุขุมลงจากรถสาวเท้ามาหยุดตรงหน้า
“มารอนานกันแล้วเหรอ” จิณณะลืมไปด้วยซ้ำว่านัดกับสองตาหลาน เขาออกไปด้านนอกทั้งวันเพราะคิดว่าอยู่บ้านเฉย ๆ ในช่วงที่รอจะไปเรียนต่อคงน่าเบื่อเกินไป จึงออกไปหากิจกรรม เปิดหูเปิดตาตามประสาหนุ่มโสด จนขับรถเข้ามาในบ้าน เห็นชายชรากับเด็กสาวผอมสูง จึงนึกขึ้นได้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงมานั่งรอ
พูดคุยกันไม่กี่ประโยค ตาแสงก็ขอตัวกลับที่พัก หน้าที่ของเขาหมดแล้ว ในเมื่อเลือกแล้วก็ปล่อยหน้าที่ที่เหลือเป็นเรื่องโชคชะตา
“ฝากคุณจิณณ์เอ็นดูหลานสาวผมด้วยนะครับ มะนาวยังเด็กอาจจะทำให้คุณจิณณ์ขัดใจได้”
“ไม่ต้องห่วง ผมเป็นธรรมเสมอ”
มะนาวยืนฟังสิ่งที่ตากับเจ้านายของตาพูดคุยกัน แต่ละประโยคไม่ได้ทำให้เด็กอายุสิบแปดปีเข้าใจความหมายแจ่มแจ้งเลย เธอไม่ได้คิดซับซ้อน คิดตื้น ๆ ในทุกเรื่องมาโดยตลอด
“ห้องเธออยู่ถัดจากห้องครัว ห้องไม่ได้ล็อกเข้าไปได้เลย…” เมื่อตาแสงออกไปพ้นประตู จิณณะจึงหันมาคุยกับเด็กสาวที่อายุห่างกับเขาเกือบหนึ่งรอบ
“…ไปอาบน้ำให้สะอาดแล้วมาเจอกันที่ห้องโถง”
มะนาวก้มหน้ามองพื้น มึนงงกับคำว่า ‘สะอาด’ อาบน้ำก็ต้องสะอาดอยู่แล้ว แล้วทำไมน้ำเสียงที่ได้ยินจึงสัมผัสได้ว่าเขาเน้นย้ำคำนี้หนักแน่นกว่าคำอื่น หากทว่าพอเธอเงยหน้าขึ้นเจ้าของบ้านก็สาวเท้าขึ้นชั้นบนของบ้านเสียแล้ว
“หมายความยังไงห๊ะ!?” เสียงหวานงึมงำกับตัวเอง แต่ก็หิ้วกระเป๋าเดินไปตามที่เจ้าของบ้านบอก
มะนาวมั่นใจว่าตัวเองเร่งรีบที่สุดแล้วในการอาบน้ำเพื่อเป็นฝ่ายมานั่งรอก่อน แต่ใครจะคิดว่า ‘คุณคนนั่น’ จะมานั่งรอเธอก่อน
“ชื่ออะไร” ร่างสูงเอ่ยถาม
“มะนาวค่ะ”
นัยน์ตาคมใช้สายตาไล่มองอย่างไม่ปกปิด จะแอบมองทำไม ในเมื่อมาเสนอขายถึงที่ ไม่มีอะไรที่ต้องเกรงใจ เขารู้มาว่าเธอเป็นลูกครึ่ง เท่าที่ดูภายนอกก็เป็นอย่างนั้น หากแต่บุคลิก ท่าทาง ออกจากเขินอาย ไม่ค่อยมีความมั่นใจเลย น่าจะเป็นเพราะถูกเลี้ยงด้วยวิถีบ้านเรา
“คุณ…เอ่อ..มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมมองหนูแบบนั้นคะ”
“พิจารณาของเล่น” จิณณะตอบตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม
“ของเล่น…!?” ทว่าคำตอบของร่างสูงกลับทำให้มะนาวงุนงงไปกันใหญ่
ของเล่น หมายความว่ายังไง
“อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้!?” คราวนี้เป็นเขาบ้างที่เอ่ยคำถาม “ตาเธอไม่ได้บอกเหรอว่าต้องทำอะไรแลกกับค่าเลี้ยงดู”
“บอกค่ะ ย้ายมาอยู่ที่นี่ทำงานบ้าน ดูแลคุณค่ะ”
“งั้นเหรอ…” จิณณะลากเสียงยาวคล้ายกับว่ากำลังใช้ความคิด หากแววตาที่มองมาไม่ใช่สายตาผู้ใหญ่ใจดีเลยสักนิด
ในตอนนั้นเอง…มะนาวก็ปั่นจักรยานถึงบ้านตาในสวนผลไม้ ทำให้ภาพจำในอดีตหยุดไว้เพียงแค่นั้น จะจดจำไปทำไมในเมื่อหลังจากนั้นสองอาทิตย์เธอก็ตอบตกลงเป็น ‘ของเล่น’ เขาอยู่ดี ไม่ได้ตกลงแบบจำยอม แต่เกิดจากความเต็มใจ
เขาจะดูถูกอย่างทุกวันนี้ก็ไม่แปลก ในเมื่อเขาให้สิทธิ์เธอเลือกแล้วว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้เพราะเขาไม่ใช่ประเภทฝืนใจใคร การมาเป็นของเล่นของเขาจะต้องไม่ทำให้เกิดอารมณ์ขัดใจระหว่างทาง จะต้องไม่ผิดข้อตกลง นั่นหมายความว่าการตอบรับข้อเสนอจะมานั่งเสียใจทีหลังไม่ได้
‘ห้ามยุ่งกับผู้ชายคนไหน ระหว่างที่อยู่ที่นี่’
‘ค่ะ เอ่อ…หนูขอถามได้ไหมคะ’
‘ว่ามาสิ’
‘หนูเรียนจบ สัญญาจะจบทันทีใช่ไหมคะ’
‘อาจจะจบเร็วกว่านั้น ถ้าฉันเจอคนที่พร้อมจะหยุด’
มะนาวส่ายหน้าไปมาเรียกสติตัวเองกลับคืนมาอีกครั้ง พยายามไม่คิดถึงแต่สมองก็ดื้อรั้นเหลือเกิน ทั้งที่อีกไม่นานมันคงต้องจบแล้วเพราะเขาเจอ…คนที่เขาพร้อมจะหยุดแล้ว แต่หัวใจกลับเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก ถ้าวันนั้นมาถึงจริง เธอจะรับได้ไหม
ถึงจะไม่ได้ร่วมเตียงหลับนอนกันถึงเช้า ทว่าไม่มีคืนไหนเลยที่เขาไม่ต้องการเธอ
“ตาจ๊ะ…” เสียงหวานเรียกหาผู้มีพระคุณ มองหาบริเวณหน้าบ้านกลับไม่เจอ ปกติตาแสงมักจะนั่งดัดไม้ไผ่แถวหน้าบ้าน
“…ไปไหนนะ”
บ้านหลังนี้เป็นบ้านคนงานที่มะนาวอยู่ตั้งแต่เกิด เป็นห้องแถวสามห้องอยู่ติดกัน มีแค่ตาแสงคนเดียวที่อยู่ท้ายสวน คนงานอื่น ๆ ย้ายไปอยู่ที่พักใหม่กันหมดแล้ว
เสียงกิ่งไม้หักดังจากหลังบ้าน มะนาวจึงสาวเท้าไปตามเสียง
“อยู่นี่นี้เอง นาวหาตั้งนาน”
“มะนาว…” ตาแสงยิ้มดีใจที่หลานสาวมาหา ลุกลี้ลุกลนลุกจากพื้น แต่ด้วยอายุที่มากทำให้เกิดอาการหน้ามืดจนเซ
“ตา!” น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยออกมา มะนาววิ่งเข้าไปประคองอย่างไว “ตาไม่สบายรึเปล่า”
หญิงสาวลูกครึ่งสำรวจเนื้อตัวคนเป็นตา ก่อนจะยื่นมาอังมือที่หน้าผากด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ๆ คนแก่ก็อย่างนี้แหละ”
“แก่ที่ไหนกัน ยังหล่ออยู่เลย”
ตาแสงส่ายหน้าให้กับคำเอ่ยชมของหลานสาว “ไป ๆ ไปนั่งหน้าบ้าน” จากนั้นจึงชวนกันออกไปด้านหน้า
“น้ำจ้ะตา…” มะนาวเข้าไปในบ้าน หยิบขวดน้ำติดมือมาให้ผู้ชายคนแรกที่เธอรัก
“…นาวบอกแล้วว่าให้ย้ายไปอยู่ที่พักใหม่ อยู่คนเดียวมันอันตราย”
“ไม่ต้องห่วงตาหรอก” ตาแสงรับน้ำจากหลาน ดื้อรั้นที่จะอยู่ที่นี่เหมือนเดิม
“ไม่ห่วงไม่ได้หรอกจ้ะ ตาอายุมากขึ้นทุกวัน อยู่คนเดียวนาวก็กลัวว่าเกิดเวียนหัวตาลายเหมือนวันนี้อีก จะไม่มีใครเห็น”
“ภูผามันแวะมานั่งคุยกับตาเกือบทุกวัน ไม่ต้องห่วง”
“ก็นาวเป็นห่วงนี่จ้ะ ห้ามได้ที่ไหน”
“เออ วันหยุดทั้งที น่าจะอยู่บ้าน มาหาตาอย่างนี้แล้วใครจะดูแลคุณเขา”
“คุณของตาไม่อยู่บ้านหรอกจ้ะ”
ตาแสงพยักหน้ารับ มองหน้าหลานสาวเห็นแววตาโศกเศร้าบางอย่างแฝงอยู่
“ที่ตาเลือกยกหลานให้คุณจิณณ์เพราะตาอยากให้มะนาวมีอนาคต จำไว้นะ การศึกษาเป็นทรัพย์สินสิ่งเดียวที่ตาอยากให้มีติดตัวหลานไปตลอด”
ประโยคนี้มะนาวได้ยินบ่อยจนท่องจำขึ้นใจแล้ว
“นาวรู้จ้ะ นาวใกล้จะเรียบจบแล้ว หลังจากนี้คงหางานทำจริง ๆ จัง ๆ กับเขาสักที” คนพูดคิดจริงจังในคำพูดทุกคำ แต่น้ำเสียงกลับสั่นเครือจนคนฟังสัมผัสได้
“ตาไม่อยากให้หลานคาดหวังสิ่งที่เป็นไปไม่ได้…”
“…เพราะคนที่เจ็บ คือตัวเรา!”