บทที่ 1 กลัวตั้งแต่เจอหน้า
@ อ.ศรีณรงค์ สุรินทร์
18.13 น.
ย่ำสนทยาแสงสุดท้ายของวันเหลือบสีแดงส้มทอง สะท้อนตัดกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าด้านทิศตะวันตก เหล่านกกาต่างผกผินบินกับที่อยู่อาศัย บ่งบอกเวลาว่ากำลังหมดวันลง ยามฤดูหนาวหรือว่าหน้าหนาวสิ่งหนึ่งที่ต่างจากฤดูร้อนอย่างได้ชัดคือความมืดเร็วกว่าปกติและพอถึงตอนเช้าก็จะสว่างสุดแสนช้า
ชนบทของต่างจังหวัดเวลานี้คนที่ออกไปทำงานตามทุ่งนา เข้าสวนตั้งแต่เช้าหรือเข้าป่าหาของกินมาประทังชีวิตไปวันๆ ก็กลับมาสู่บ้านตามวิถีชีวิตซ้ำๆ เดิมๆ จะมีออกไปตลาดชุมชนบ้างเพื่อซื้อวัตถุดิบมาประกอบอาหาร แม้แต่จับกลุ่มนั่งดื่มใต้ถุนบ้าน วิถีชีวิตที่ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนมาตั้งแต่เดิมจากในอดีตนักในบางพื้นที่ และที่นี่ก็เช่นกัน
แล้วนัยตาคมกริบก็หันไปจ้องมองสองแม่ลูกคู่หนึ่งที่สะพายกระเป๋าใบใหญ่พอประมาณ เดินจูงมือกันผ่านหน้าบ้านไปก่อนจะกระตุกยิ้มพลางคิดว่าความเจริญในประเทศนี้มันเข้าไม่ถึงจริงๆ สองแม่ลูกที่พากันออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดพึ่งกลับมาในตอนพลบค่ำของวัน
ความเจริญหากจะถามในต่างจังหวัดความเปลี่ยนแปลงมันยังเข้าไม่ถึงด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรแต่ที่เด่นชัดที่สุดก็คงเป็นระบบการขนส่ง การที่ต้องตื่นเช้าตรู่เพื่อขึ้นรถประจำทางไปยังตัวเมือง การที่ต้องใช้เวลาเต็มวันเพื่อเข้าไปทำธุระไม่เกินชั่วโมงเดียวแล้วใช้เวลาทั้งหมดเสียเปล่ากับการรอรถประจำทาง การรอคิวที่แสนช้า
น่าสังเวชใจสิ้นดี
แบบนี้สินะที่ไม่อยากจะไปไหนอีก
ความเจริญเข้าถึงเพียงแค่ตัวจังหวัดซึ่งเป็นตัวเมืองใหญ่ ส่วนรอบนอกเป็นยังไงก็ช่างมัน ความแตกต่างในทุกเรื่องมักมีให้เห็นเสมอ ถึงจะบอกว่ามีความเท่าเทียม ได้เท่ากันหมด บอกเลยว่าความจริงมันไม่ใช่สักนิด ขายฝันให้ดูน่าเวชทนา คำหลอกล่อมันทุเรศที่สุด ไม่ว่าจะออกมาจากปากใคร
แต่แล้วความเรียบง่ายที่เกิดขึ้นแต่กำลังจะจบภายในหนึ่งวันก็ถูกทำลายลงภายในพริบตา รถคันหรูราคาเหยียบแปดหลักเคลื่อนมาจอดหน้าบ้านถึงสองคันด้วยกัน
บ้านไม้สักทองยกสูงทั้งหลังโดดเด่นกว่าหลังอื่นๆ มีบริเวณรอบบ้านอันกว้างขวาง รอบเขตรั้วห้อมล้อมไปด้วยไม้ประดับแล้วก็ไม้ผลตามฤดูกาลที่ชนบทนิยมปลูกไว้ทาน เมื่อประตูไม้หน้าบ้านกำลังจะถูกเปิดอย่างไร้มารยาท
เจ้าของบ้านก็ไม่อยู่เฉย
ต้องต้อนรับเสียหน่อย
กริ๊ก...
มือยาวสีขาวสับไกของวัตถุสีดำวาวด้วยมือข้างเดียวอย่างคล่องมือ ก่อนที่วัตถุนั้นมันจะเคลื่อนไปจ่อขมับซ้ายของคนบุกรุกที่ก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้ามายังบริเวณบ้าน
“ใจเย็น กูมาดี”
“…”
เมื่อไร้เสียงตอบรับใดๆ มีแต่เคลื่อนวัตถุในมือดันให้เข้าไปชิดทักทายเนื้อของขมับซ้ายอย่างเลือดเย็น ความมั่นคงที่ไร้ความลังเลใดๆ นอกจากหากอีกฝ่ายที่บุกรุกเข้ามาขยับตัวอีกครั้ง ลูกปืนก็พร้อมเจาะเข้าไปทักทายด้านในสมองทันทีเช่นกัน
“พูดจริงโว้ย”
“สันดานคนแบบมึงมีดีด้วยเหรอ” ถ้อยคำเยือกเย็นเผยออกจากปากของคนที่เป็นเจ้าของปืน ไม่นานรูปร่างสูงร้อยแปดสิบกว่า ใส่เสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงผ้าโปร่งสีดำก็ยกยิ้มอย่างเลือดเย็นแต่สายตายังนิ่งเรียบเช่นเดิม ต่อหน้าบอดี้การ์ดคนอื่นที่อยู่ด้านหลังคนบุกรุก ไม่ได้เกรงกลัวปลายกระบอกปืนหลายกระบอกที่มุ่งตรงมายังตัวเอง แต่พอคนเป็นเจ้านายที่โดนปืนจ่อศีรษะยกมือขึ้นสั่ง ปืนพวกนั้นก็ถูกเก็บลงทันที “กลับไปซะ”
“กูมาดีจริงๆ”
“มาทางไหนกลับไปทางนั้นหรือจะให้เป่าก่อน”
“ก็มาทอดกฐินวัดที่ตำบลมึง ก็เลยมาหา”
“กลับไปซะ”
เพราะการยืนยันคำเดิมทำให้ชัชวาลย์ถอนหายใจยาวพ่นออกมา แต่ก็ไม่ยอมง่ายๆ ยังปักหลักไม่ขยับตัวแต่เคลื่อนสายตามองหน้าอีกฝ่ายแทน กุมภา คือชื่อของมัน ชายรูปหล่อแม้กระทั่งเล็บนิ้วเท้า ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นตัวกุมภาในสายตาของชัชวาลย์มันโคตรอยู่บนจุดสูงสุด หน้าตา มันสมอง การทำงาน คำพูดแม้กระทั่งความร้ายกาจ ล้วนเป็นที่ต้องการของใครหลายคน ไม่เว้นแม้แต่ตัวชัชวาลย์
นี่คือเหตุผลที่ชัชวาลย์แบกหน้ามาถึงที่นี่
