บทนำ ยั่วยวนดั่งนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
บทนำ
ยั่วยวนดั่งนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
‘ข้าไม่อยากตายอีกแล้ว...’
คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไท่ ‘ไท่อี่หลิน’ เยื้องย่างเรือนกายอรชรเข้ามายังลานโล่งกว้างกลางแจ้งภายในจวนตระกูลไท่ที่เวลานี้ได้ถูกเหล่าทหารใช้เป็นสถานที่กินดื่มสรวลเสเฮฮา
ทั้งที่ทั่วจวนตระกูลไท่ชโลมไปด้วยโลหิตแดงฉานส่งกลิ่นคาวคลุ้งคลื่นเหียน ศพผู้ที่ขัดขืนยังคงนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่ตามทางเดิน
ไท่อี่หลินรู้ดีว่ากองทัพพยัคฆ์หมอกเหี้ยมโหดเพียงใด เพราะนางถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมมาแล้วถึงสามครั้งด้วยกัน และครั้งนี้คือครั้งที่สี่ที่นางหวนคืนกลับมา
คุณหนูใหญ่ไท่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดยามถูกคมดาบสะบั้นศีรษะจนขาดกระเด็นยังคงฝังลึกอยู่ในความรู้สึกดั่งฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน
หากความตายนำมาซึ่งการจบสิ้นภพชาติที่แสนอัปยศไปตลอดกาล นางคงไม่หวาดกลัวความตายขนาดนี้ แต่ทว่าความตายกลับนำมาซึ่งการหวนคืน จนทำให้หญิงสาวแทบสติแตก อีกทั้งยังมิอาจทนเห็นมารดาผู้เป็นที่รักต้องถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาซ้ำๆ อีกต่อไป
ครั้งนี้นางจะเลือกทางเดินที่แตกต่าง ไม่ร้องขอชีวิตอย่างคนขี้ขลาด ไม่พยายามหลบหนี และไม่ยอมจำนนต่อความตาย นางจะสู้เพื่อการมีชีวิตรอดแม้ว่าจะต้องแลกด้วยเยื่อบางๆ ที่อิสตรีต่างหวงแหนก็ตาม
ไท่อี่หลินสูดลมหายใจเข้าปอดลึกเพื่อปลุกปลอบตนเองให้มีความกล้า ก่อนจะเม้มริมฝีปากที่บรรจงทาชาดแดงเข้าหากันแน่นจนแทบเป็นเส้นตรง อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นบางเบาแทบจะเห็นเรือนร่างยวนเย้าภายใน
อายหรือ...
ระหว่างความอับอายกับความตายนางจะเลือกอะไรเล่า คำตอบของคนที่ถูกฆ่าตายถึงสามครั้ง ย่อมต้องเลือกหนทางแห่งความอัปยศเพียงเพื่อเอาชีวิตรอด
เจ้าของร่างกายเย้ายวนเดินผ่านกองไฟขนาดใหญ่ก่อนจะยอบกายลงอย่างเชื่องช้าต่อหน้าแม่ทัพหมิงหงเยี่ยนผู้เกรียงไกร ชายผู้มีใบหน้างดงามเย็นชาดั่งรูปสลักไร้ใจ ไม่ว่าสองเท้าของเขาย่างกรายไปยังแห่งหนใดมักมีโลหิตไหลนองรองฝ่าเท้าของเขาอยู่เสมอ ศีรษะที่ถูกแขวนประจานเป็นดั่งตราสัญลักษณ์เชิดชูเกียรติก็ไม่ปาน
ทั้งสามชาติที่ผ่านมาแม่ทัพหมิงจะดื่มสุราอยู่ที่ลานจัดเลี้ยงนี้จนถึงเพียงยามซวี เขาก็จะควบม้าออกจากตระกูลไท่ไป และจะกลับมาอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นโค้งขอบฟ้าซึ่งเป็นเวลาประหารนักโทษตระกูลไท่
หญิงสาวจะไม่ยอมตายเป็นอันขาด เพราะนางไม่รู้เลยว่านางจะมีโอกาสได้หวนกลับคืนมาอีกหรือไม่ หากครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเล่า
ข้าจะต้องไม่พลาด!
“ข้าไท่อี่หลินขอคารวะท่านแม่ทัพหมิงเจ้าค่ะ”
หญิงสาวยอบกายลงทำความเคารพชายหนุ่ม ทว่าดวงตาของเขากลับว่างเปล่าราวกับมองเห็นแมลงไร้ค่าไม่อยู่ในสายตา ดูเหมือนว่าจอกสุราในมือของเขายังมีค่ามากกว่าชีวิตของนางด้วยซ้ำไป
ในขณะเดียวกันเหล่าทหารที่เริ่มเมามายจากฤทธิ์น้ำเมากำลังส่งเสียงโห่ร้องบ้างก็สัพยอกด้วยถ้อยคำลวนลามหยาบคายจนใบหน้าของคุณหนูในห้องหอถึงกับแดงซ่าน
ราวกับมีก้อนแข็งๆ แล่นมาติดอยู่ที่ลำคอจนตีบตัน กระนั้นนางกลับเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ดวงตากลมโตแม้มีหยาดน้ำใสคลอแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความทระนง
“ข้าขออนุญาตมอบความสุขให้แก่ท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกรเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยออกมาโดยไม่สนว่าใครจะมองนางอย่างไร เพราะการที่นางได้ออกจากคุกใต้ดินมายืนอยู่ตรงนี้ นางต้องคุกเข่าอย่างสิ้นศักดิ์ศรีเพื่ออ้อนวอนขอโอกาส ในเมื่อนางได้โอกาสมาแล้วนางจะไม่ยอมพลาดเป็นอันขาด
ทันทีที่ดนตรีบรรเลงขึ้นไท่อี่หลินก็เริ่มร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม ดวงตาของนางทอประกายสุกใสดั่งนางจิ้งจอกสาวที่แสนเย้ายวน
นางมองไปยังแม่ทัพหมิงก่อนจะเผยอเรียวปากอวบอิ่มน้อยๆ แล้วขบเม้มกัดริมฝีปากล่างด้วยฟันซี่ขาวดั่งไข่มุก ทุกการขยับเยื้องกรายส่งผลให้อาภรณ์สีแดงแสนบางเบากระทบแสงสว่างจากกองไฟดั่งจะเผยให้เห็นเรือนกายส่วนสัดเย้ายวนที่ซุกซ่อนอยู่
เหล่าชายฉกรรจ์ต่างหยุดนิ่งดั่งลืมหายใจ ลืมการกินดื่มสนุกสนาน ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังคุณหนูใหญ่ไท่ที่ใครๆ ก็รู้ว่านางเป็นสตรีเรียบร้อยไร้ปากเสียง ดังนั้นใครเลยจะคาดคิดว่านางจะร่ายรำได้งดงามยั่วยวนถึงเพียงนี้
ไท่อี่หลินยังคงร่ายรำ ร่ายรำ ร่ายรำ...โดยไม่หยุดพัก กระพรวนที่ข้อเท้าส่งเสียงตามจังหวะการเยื้องย่างผสานไปกับเสียงดนตรี ดวงตาเย้ายวน ริมฝีปากหยักยิ้ม ทว่าหยาดน้ำตากลับไหลออกมาเป็นสายราวกับนางไม่อาจควบคุมมันได้
หญิงสาวไม่ได้ตกใจกับปฏิกิริยาของร่างกายตนเอง หัวใจปริร้าวมีหรือที่ร่างกายจะไม่รับรู้ถึงความรู้สึกสิ้นหวัง นางจึงปล่อยให้หยาดน้ำตาร่วงรินโดยไม่คิดจะยกมือขึ้นเช็ดเพราะคิดว่าคงไม่มีใครเห็น มุ่งมั่นกับการร่ายรำยั่วยวนพยายามดึงเสน่ห์แห่งอิสตรีออกมาให้ได้มากที่สุด
ไท่อี่หลินยังคงร่ายรำต่อไปราวกับบ้าคลั่ง เท้าเปล่าที่เหยียบลงบนผืนดินมีเลือดสีชาดไหลซึมออกมาทีละน้อย
กระนั้นความเจ็บปวดกลับส่งมาไม่ถึงสมองและหัวใจ จนเลือดที่ฝ่าเท้าเริ่มไหลซึมออกมามากขึ้น กลายเป็นว่าทุกจังหวะที่นางย่างก้าวร่ายรำจะปรากฏรอยเท้าโลหิตขึ้นมาอย่างน่าหดหู่ใจ
ท่าทางหื่นกระหายของเหล่าทหารในตอนแรกถึงกับจางหายไป ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก
‘ข้ายังยั่วยวนได้ไม่ดีพองั้นหรือ ข้าร่ายรำได้ไม่ตราตรึงใจงั้นหรือ เหตุใดแม่ทัพหมิงจึงนิ่งเฉยนัก หรือว่าเขามิได้พิสมัยสตรี! หรือว่าข้ายังงดงามไม่มากพอ! ไม่! ข้าไม่มีวันยอมแพ้!’
ไท่อี่หลินครุ่นคิดอย่างหนัก หากอยากมีชีวิตรอดนางต้องยั่วให้มากกว่านี้ ต้องทำตัวแพศยายิ่งกว่าหญิงคณิกาต่ำช้า ต่อให้ต้องทอดกายลงไปเกลือกกลิ้งในโคลนตมนางก็ต้องทำ
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงค่อยๆ เปลื้องอาภรณ์ผืนบางออก เนินอกอวบอัดปรากฏแก่สายตา ก่อนที่นางจะเริ่มปลดกระโปรงให้ร่วงหล่นลงสู่ปลายเท้า
“ปิดตาของพวกเจ้าเสีย ไม่เช่นนั้นข้าจะควักลูกนัยน์ตาของพวกเจ้าทิ้งให้หมด!”
น้ำเสียงห้าวแหบทุ้มดังขึ้นทำให้เหล่าทหารกล้าต่างก้มหน้าลงอย่างพร้อมเพรียง ไท่อี่หลินเพียงชะงักฝ่าเท้าเล็กน้อยก่อนจะร่ายรำต่อไปโดยที่เรือนกายมีเพียงตู้โตวปิดบังทรวงอก ส่วนเบื้องล่างมีผ้าผืนจ้อยปิดบังจุดสงวนแห่งอิสตรีเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่
