บทที่ 5 ความหวังของคุณหนูรองไท่
บทที่ 5
ความหวังของคุณหนูรองไท่
“อะ...อะไรนะ หลินเอ๋อร์บาดเจ็บงั้นหรือ ละ...แล้วตอนนี้หลินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
ฮูหยินเอกซ่านอิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รีบปราดเข้าไปจับลูกกรงแล้วเค้นถามอีกฝ่ายด้วยความร้อนใจ ทว่าจังหวะนั้นเองไท่ฉินฉินกลับยื่นมือออกไปผลักอีกฝ่ายจนล้มหงายหลัง
“ถอยไป!”
“โอ๊ย!”
เมื่อถูกผลักเต็มแรงฮูหยินเกาซ่านอิงก็ถึงกับส่งเสียงร้องออกมา แรงกระแทกทำให้ปวดแปลบไปทั้งสะโพกซีกซ้ายจนไม่อาจลุกขึ้นยืนไหว กระนั้นนางกลับคลานเข่าเข้าไปกอดลูกกรงเหล็กร้องถามหาบุตรสาวด้วยความห่วงใย
“ว่าอย่างไรเล่าหลินเอ๋อร์ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“น่ารำคาญ!”
ไท่ฉินฉินตวาดแหวอีกครั้งอย่างเหลืออด แค่ต้องทนอยู่ในห้องขังรวมกับนังสวะสองแม่ลูกนี่นางก็ขยะแขยงจะตายอยู่แล้ว
จังหวะนั้นเองฮูหยินรองไท่ก็ปราดเข้ามากระชากผมอดีตสหายรักก่อนจะเงื้อมือขึ้นสูงแล้วฝาดใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง
เผียะ!
ฮูหยินเอกถูกฮูหยินรองตบจนล้มคว่ำลงไปกับพื้น รับรู้ถึงรสชาติของเลือดที่ไหลอวลอยู่ในปาก ซ่านอิงไม่ร้องไห้แต่กลับมองอีกฝ่ายด้วยความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง
อดีตสหายรักสนิทสนมกันตั้งแต่เยาว์วัยหนีร้อนมาพึ่งเย็นขอพักอาศัยที่จวนสกุลไท่ แต่กลับเนรคุณยั่วยวนแย่งชิงสามีของนางไป มิเพียงเท่านั้นยังใส่ร้ายหาว่านางกลั่นแกล้งรังแกต่างๆ นานา สามีผู้ใจมืดบอดจึงขับไล่นางและบุตรสาวไปอยู่เรือนเล็กท้ายจวนอย่างไร้ความเมตตา
มาบัดนี้บุตรสาวที่รักมากที่สุดจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรนางก็ไม่อาจรู้ได้เลย ซ่านอิงเจ็บปวดที่หัวใจอย่างเหลือจะกล่าว ได้แต่ภาวนาขอให้บุตรสาวยังอยู่รอดปลอดภัย ขอเพียงแม่ทัพหมิงรับบุตรสาวเอาไว้ ต่อให้นางต้องถูกประหารนางก็ตายตาหลับแล้ว
“ฉินเอ๋อร์คุยต่อเถอะ ถ้านังสารเลวนี้ไปรบกวนเจ้าอีก แม่จะจัดการมันเอง”
ฮูหยินรองหันไปบอกบุตรสาวอย่างฝากความหวัง
“จิ๊!”
ไท่ฉินฉินส่งเสียงไม่พอใจเมื่อมองไปยังฮูหยินเอกที่ครั้งหนึ่งนางเคยเรียกว่า ‘ท่านแม่ใหญ่’ ก่อนจะหันไปถามสาวใช้คนสนิทด้วยความอยากรู้
“เล่าต่อสิ เร็วเข้า!”
“ท่านแม่ทัพหมิงไม่ได้ดูโหดร้ายอย่างที่ผู้คนเล่าลือกันหรอกนะเจ้าคะคุณหนูรอง เพราะบ่าวเห็นมากับตาว่าท่านแม่ทัพอุ้มคุณหนูใหญ่ที่สลบไม่ได้สติไปยังเรือนนอนด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีเมตตาเรียกหมอมาช่วยรักษาอาการป่วยอีกด้วย บ่าวจึงคิดว่าจุดอ่อนของท่านแม่ทัพคือ ‘หญิงงาม’ เจ้าค่ะ”
วางถิงเล่าอย่างออกรส หวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยอะไรผู้เป็นเจ้านายสาวได้บ้างไม่มากก็น้อย
“จริงหรือ!”
ไท่ฉินฉินทวนถามอย่างมีความหวัง หากนางทำให้แม่ทัพหมิงหลงรักก็เท่ากับว่านางอาจมีชีวิตรอด แล้วนางก็อาจจะขอร้องให้เขาละเว้นโทษประหารบิดามารดาก็เป็นได้
“จริงสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูใหญ่เทียบความงามคุณหนูรองไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป ทั้งผอม ทั้งซูบ ผิวหรือก็ไม่นวลเนียนผุดผาดเท่าคุณหนู หากว่าคุณหนูเสนอตัวอุ่นเตียงให้ท่านแม่ทัพ รับรองเลยว่าท่านแม่ทัพต้องหลงคุณหนูจนโงหัวไม่ขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
วางถิงรีบสาธยายความงามของเจ้านายสาวด้วยใบหน้าชื่นบาน
“ข้าแจ้งองครักษ์เยว่ไปแล้วว่าจะขอเข้าไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพ ในเมื่อนังอี่หลินมันล้มป่วยเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าสวรรค์เมตตาเปิดทางให้ข้า”
ไท่ฉินฉินเอ่ยขึ้นอย่างมีความหวัง นางได้มีโอกาสเห็นใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพหมิงหงเยี่ยน เพียงได้สบตานางก็หลงรักบุรุษรูปงามผู้นั้นหมดหัวใจ แต่เพราะความโหดเหี้ยมอำมหิตของเขาที่ชักกระบี่สะบั้นศีรษะมนุษย์ต่อหน้าต่อตา จึงทำให้นางหวาดกลัวที่จะเข้าหา
จนกระทั่งจู่ๆ นังอี่หลินก็คุกเข่าขอร้องต่อองครักษ์เยว่ ว่าจะมอบเรือนกายอุ่นเตียงให้แม่ทัพหมิงผู้เกรียงไกร เวลานั้นนางถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจ ด้วยไม่คาดคิดถึงวิธีนี้มาก่อน เมื่อเห็นว่าองครักษ์เยว่รับปากว่าจะนำเรื่องไปแจ้งแก่แม่ทัพหมิง นางจึงรีบคุกเข่าขอร้องบ้าง ทว่าองครักษ์เยว่กลับบอกให้นางรอเพราะแม่ทัพหมิงมักรับสตรีครั้งละหนึ่งนางเท่านั้น
ไท่ฉินฉินร้อนใจนักเมื่อเห็นองครักษ์เยว่เข้ามาสอบปากคำบิดาเพิ่มเติม นางจึงรีบคุกเข่าวอนขอต่อองครักษ์เยว่อีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิมคือนางต้องรอ
ซึ่งเป็นการรอที่ไร้ความหวังเพราะพรุ่งนี้นางและทุกคนในตระกูลไท่ก็จะต้องก้าวขึ้นสู่ลานประหารแล้ว
ไท่ฉินฉินเครียดจนเผลอกัดเล็บจนเป็นแผล กลัวว่าพี่สาวต่างมารดาจะได้รับความโปรดปรานจากแม่ทัพหมิงไปเสียก่อน ส่วนนางก็จะถูกประหารอย่างโหดเหี้ยม แต่แล้วจู่ๆ โอกาสก็ตกลงมาบนหน้าตักของนางโดยไม่ทันตั้งตัว
“คำอธิษฐานของข้าสัมฤทธิผลแล้ว ข้าเฝ้าภาวนาขอให้นังอี่หลินทำพลาด แล้วมันก็โง่ทำพลาดจริงๆ”
ไท่ฉินฉินหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะยื่นมือออกไปตบลงบนไหล่ของสาวใช้คนสนิท
“ขอบใจมากนะวางถิง”
“เจ้าค่ะคุณหนูรอง เดี๋ยวบ่าวต้องรีบกลับออกไปก่อน”
สาวใช้วางถิงส่งข่าวเสร็จแล้วก็รีบเดินจากไป ฮูหยินรองไท่รีบมาโอบกอดบุตรสาวเอาไว้ด้วยความหวัง
“ฉินเอ๋อร์เจ้าคือความหวังของพวกเรา”
สองแม่ลูกโอบกอดกันและกันแนบแน่น ใบหน้าของไท่ฉินฉินเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตาแห่งความยินดี ฮูหยินรองไท่ใช้ฝ่ามือลูบใบหน้าบุตรสาว นางเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักบุตรสาวมาอย่างทะนุถนอม ผิวพรรณถูกขัดถูอาบด้วยน้ำนมแพะอย่างดี ความงามนั้นเรียกว่าไม่น้อยหน้าผู้ใด
หากไท่อี่หลินที่ทรุดโทรมและซูบผอมยังเป็นที่ต้องตาแม่ทัพหมิง มีหรือที่บุตรสาวของนางจะไม่เป็นที่ต้องใจเล่า
“ฉินเอ๋อร์ลูกพ่อ”
“พี่สาวได้โปรดช่วยพวกเราด้วย”
ทางด้านขุนนางไท่และบุตรชายอีกสองคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างมีความหวังไม่ต่างกัน
คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าแม่ทัพหมิงหงเยี่ยนไม่เคยไว้ชีวิตผู้กระทำผิด ที่เหล่าบุตรสาวรอดพ้นก็เพราะพวกนางเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการฉ้อโกง เป็นเพียงคุณหนูในห้องหอที่ถูกเลี้ยงดูโดยมิได้รับรู้เส้นทางการเงิน เมื่อร้องขอชีวิตเขาจึงมอบโอกาสให้ แต่พวกนางต้องละทิ้งชื่อแซ่ ละทิ้งตัวตน ละทิ้งวงศ์ตระกูล เมื่อถูกปลดจากการอุ่นเตียงก็ต้องเป็นเพียงอนุภรรยาของนายทหารชั้นผู้น้อยเท่านั้นเพื่อรักษาชีวิตรอด
หากคุณหนูที่ร้องขอชีวิตเคยยุ่งเกี่ยวหรือเข้าไปบริหารพัวพันการฉ้อโกงเขาย่อมไม่ให้โอกาส
และแน่นอนว่าไม่มีใครวอนขอให้บิดาหรือมารดามีชีวิตรอดได้เลยสักคน หากจะรอดก็มีเพียงสตรีที่เอาเรือนกายเข้าแลกเท่านั้น อีกทั้งเรื่องนี้ยังไม่เคยแพร่งพรายออกไป มีเพียงนายทหารชั้นสูงในกองทัพพยัคฆ์หมอกเท่านั้นที่ล่วงรู้
ส่วนทางด้านฮูหยินเอกซ่านอิงยกมือขึ้นปิดใบหน้าแล้วร้องไห้ออกมาปริ่มว่าจะขาดใจด้วยความสงสารบุตรสาวที่แสนอาภัพ
‘โถ่หลินเอ๋อร์ลูกแม่’
