บทที 14 ใบลาออก
บทที 14 ใบลาออก
“แกว่าคู่นั้นเป็นพี่น้องกันหรือเปล่าวะ แต่ดูจากการกระทำแล้วฉันว่าไม่ใช่แน่ ๆ หมั่นไส้ว่ะ แก่แล้วยังคิดจะเอาผัวเด็กอีก” นักศึกษาสาวหนึ่งในสามคนที่มาด้วยกัน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความหมั่นไส้ระคนหยามหยัน
“สงสัยจะมีเงินให้ผลาญเยอะ ไอ้หน้าอ่อนนั่นถึงขยันเอาใจ” หญิงสาวคนที่สองเอ่ยขึ้นบ้าง
“แต่เจ๊แกก็สวยมากนะ เขาอาจจะรักกันจริงก็ได้” หญิงสาวคนที่สามคิดไปในทางที่ดี ถึงแม้จะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก
“เป็นไปได้ยาก ฉันว่ามันหลอกแดกมากกว่า” หญิงสาวคนที่สองยังยืนกรานในความคิดของตัวเองว่าถูกต้อง
“ผู้ชายมันคงลีลาดี เจ๊แกถึงหลงหัวปักหัวปำ” หญิงสาวคนที่หนึ่งเสริม
“แต่ดู ๆ แล้วฉันว่าผู้ชายน่าจะหลงเจ๊แกมากกว่านะ” หญิงสาวคนที่สามแย้งความคิดของเพื่อนอีกสองคน
“ก็เสแสร้งแกล้งทำไปอย่างนั้นแหละ พอลับหลังก็มาหาผู้หญิงรุ่นเราทั้งนั้นแหละ” หญิงสาวคนที่หนึ่งแสยะปาก
“พี่ว่าน้องทั้งสามคนน่าจะหยุดพูดไปเลยดีกว่านะ”
หญิงสาวทั้งสามหันไปมองทางด้านหลัง เยื้องจากที่นั่งตัวเองไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงเข้ม ๆ ของใครคนหนึ่งตำหนิขึ้นมา
“ผู้ชายที่น้องกำลังพูดถึงเป็นลูกชายของทนายประจำบริษัทพี่ ส่วนผู้หญิงที่น้องพูดถึงก็คือพี่สาวของเขา ถ้าน้องไม่อยากโดนฟ้องร้องก็รีบหุบปากไปเลยดีกว่า เพราะถ้าพี่ได้ยินน้องพูดต่ออีกแค่ประโยคเดียว พี่จะเอาเสียงที่อัดไว้ไปให้พ่อพวกเขาเอง” ยัสซันชูโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูให้หญิงสาวทั้งสามดูขณะคำพูด
“ขอโทษค่ะ พวกเราจะไม่พูดอีกแล้ว อย่าเอาเรื่องพวกเราเลยนะคะ” หญิงสาวคนที่สามรีบกล่าวขอโทษพร้อมยกมือไหว้ โดยมีเพื่อนอีกสองคนทำตาม
“เราแค่พูดเล่นเท่านั้น อย่าเอาเรื่องพวกเราเลยนะคะ”
“หนูผิดไปแล้วค่ะพี่ อย่าถือโทษโกรธพวกหนูเลยนะคะ”
ยัสซันกวาดสายตามองหญิงสาวทั้งสาม ที่ยกมือไหว้กล่าวคำสำนึกผิดด้วยสีหน้าคล้ายจะร้องไห้
“ถ้าเป็นพี่ พี่ก็คงจะเลือกผู้หญิงคนนั้นมากกว่าน้องทั้งสามคน เพราะเธอดูมีสง่าราศีกว่าพวกน้องเยอะ และอีกอย่างพี่ก็คิดว่าน้องก็ไม่ต่างจากที่นินทาพวกเขาสักเท่าไหร่หรอก คงผ่านมือเสี่ยแก่ ๆ มาหลายคนแล้วเหมือนกันแหละ” พวกหล่อนเป็นใคร แล้วมีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าผู้หญิงของเขาแบบนี้
“พี่พูดแรงไปหรือเปล่า เราฟ้องหมิ่นประมาทได้นะ” หญิงสาวคนที่หนึ่งเถียงกลับไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก เพราะรู้สึกกริ่งเกรงกับท่าทางของอีกฝ่าย
“ก็ฟ้องสิ ถ้าคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ แต่พี่ไม่ปล่อยให้น้องฟ้องฝ่ายเดียวแน่” ชายหนุ่มแกว่งโทรศัพท์มือถือ “พี่มีทนายส่วนตัว คดีนี้ยังไงพี่ก็ชนะแน่ ๆ น้องเตรียมขึ้นศาลให้พร้อมก็แล้วกัน” ชายหนุ่มลุกขึ้น หยิบนามบัตรวางลงบนโต๊ะของหญิงสาว “ข้อมูลไว้ใช้แจ้งความ” เขาทิ้งประโยคเด็ดไว้เพียงแค่นั้นก่อนเดินจากไป
“แกจะแจ้งความเหรอ” หญิงสาวคนที่สองถามเพื่อนรัก เมื่อชายหนุ่มเจ้าของนามบัตรเดินจากไปแล้ว แค่อ่านชื่อสกุลและตำแหน่งหน้าที่ที่ระบุไว้ก็รู้ดีว่ายากที่จะต่อกรด้วย
“ใครจะไปฟ้องล่ะ แกเห็นไหมเนี่ยว่าเป็นเจ้าของบริษัทอะไร ในเครือนี้มีธุรกิจอะไรบ้างแกก็น่าจะรู้” หญิงสาวคนที่หนึ่งจิ้มนิ้วลงไปในนามบัตรที่เพื่อนถือเอาไว้
“ทำไมถึงซวยอย่างนี้วะเรา คราวหน้าคราวหลังก็ดูให้ดีก่อนจะนินทาใครนะ”
ทั้งสามสาวถอนหายใจ กุมขมับกับความซวยของตัวเอง
“แกสองคนคิดเหมือนฉันไหม” จู่ ๆ หญิงสาวคนที่หนึ่งก็ผงกศีรษะขึ้นสูง เอ่ยถามกับเพื่อนด้วยสายตาเป็นประกาย
“คิดอะไร” หญิงสาวคนที่สามเป็นฝ่ายถาม
“ผู้ชายคนนั้นหล่อลากไส้เลยว่ะ”
สองสาวพยักหน้าเห็นด้วย เริ่มพูดถึงชายหนุ่มอย่างออกรสอีกครั้ง ลืมเรื่องที่ถูกต่อว่าก่อนหน้าไปสนิท...
วารีเดินเข้าไปในห้องนอนของลูกชาย เมื่ออีกฝ่ายกล่าวเชื้อเชิญและเปิดทางให้ “แม่ไม่ได้มารบกวนเวลาพักผ่อนใช่ไหมลูก”
“ครับคุณแม่” ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ กดปิดรายการทีวีที่เปิดทิ้งไว้ “คุณพ่อหลับแล้วเหรอครับ”
“ยังจ้ะ ท่านดูรายการกอล์ฟอยู่” วารีตอบคำถามลูกชาย ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หนังตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ในมุมนั่งเล่น แยกจากที่ตั้งของเตียงนอนเป็นสัดส่วน เริ่มเอ่ยถึงเรื่องที่ต้องการคุยกับเขา “วันนี้ฟารีดาโทรหาแม่ เธอบอกว่าติดต่อลูกไม่ได้”
“ผมลืมโทรศัพท์ไว้ในรถครับคุณแม่ ก็เลยไม่ได้รับสายเธอ”
“แค่นั้นจริง ๆ เหรอลูก”
“ทำไมคุณแม่มองหน้าผมแบบนั้นล่ะครับ ผมทำให้คุณแม่ไม่สบายใจหรือเปล่า” ยัสซันถามมารดาพร้อมรอยยิ้ม
“ทำไมลูกไม่บอกกับพ่อเขาตรง ๆ ไปเลยล่ะ” วารีตั้งคำถามสั้น ๆ ที่รู้ว่าลูกชายเข้าใจความหมายดี
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กขยี้ศีรษะที่เปียกหมาดไปพลาง ๆ “ชีคเขาคงเป็นโรคหูหนวกกระมังครับคุณแม่ เขาถึงไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว” พูดถึงบิดาที่ให้กำเนิดอย่างห่างเหิน
“ลูกไม่ชอบฟารีดาบ้างเหรอ แม่ว่าเธอเป็นคนสวยและเพียบพร้อมดีนะ ลูกเรียนกับเธอมาหลายปีน่าจะได้ศึกษานิสัยใจคอกันบ้าง” วารีเอ่ยถึงหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของชีคท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเครือญาติของสามีเก่าที่เลิกรากันไป เพราะทนความเจ้าชู้หลายใจของเขาไม่ไหว ตั้งแต่ตอนที่ลูกชายอายุได้แค่ห้าขวบ แต่นางก็ยังให้พ่อกับลูกได้มีโอกาสพบปะกันตามที่พวกเขาต้องการ
“ไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไรเกิดขึ้นหรอกครับคุณแม่”
“แล้วลูกเคยบอกกับเธอหรือเปล่า”
“ไม่ได้บอกครับ เพราะเธอน่าจะรู้ตัว ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอด้วยคำพูดแบบนั้น ถึงแม้เธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ผมรัก แต่เธอก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง”
“แม่ดีใจที่ลูกคิดแบบนั้น เรื่องนี้แม่จะไม่เข้าไปยุ่งเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของลูก แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่แม่ปล่อยให้ลูกตัดสินใจคนเดียวไม่ได้”
“เรื่องอะไรเหรอครับคุณแม่”
“แม่ได้ยินมาว่าหนูป่านยื่นใบลาออก เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าลูก”
“...จริงครับคุณแม่ แต่คุณแม่อย่าเพิ่งกังวลนะครับ เพราะใบลาออกของเธอยังไม่มีผลใด ๆ ทั้งสิ้น ผมจะคุยกับเธอก่อนแล้วค่อยพิจารณาเรื่องนี้ใหม่”
