Chapter 4
นางบำเรอที่ดี...ต้องราคาสามล้าน
เกวลีเข้าห้องพัก ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง คืนนี้เกิดเรื่องมากมายเหลือเกิน ล้วนสั่นไหวศีลธรรมและศักดิ์ศรีของเธอ ผู้ชายช่างเป็นเพศที่ละโมโลบมาก นอกจากในทรัพย์แล้วยังติดในตัณหากามารมณ์ เธอไม่เห็นว่าตนเองน่าพิศวาสตรงไหน แค่ผู้หญิงธรรมดาหาได้ดาษเดื่อนตามท้องถนน หรือจะเป็นเพราะว่าเธอยังซิง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่เยื่อบาง ๆ ผู้ชายบางคนจะตีค่ามันสูง ขนาดยินยอมชดใช้หนี้ได้
แม้ปารวิชญ์จะหน้าตาหล่อเหลา แต่เขาก็มักมากไม่ต่างจากเสี่ยอ่างหรอก
เกวลีมองเพดานห้องชั่วครู่ก็ลุกขึ้น ไม่มีประโยชน์ที่จะมามัวเหม่อ เธอต้องคิดแผนต่อไป พรุ่งนี้จะคุยกับเจ้ว่านอีกที แม้สินเชื่อบัตรจะไม่อนุมัติเพราะสภาพเศรษฐกิจทรุดตัวเช่นนี้ ยังมีเงินสหกรณ์เหลืออยู่ หากกู้เกินวงเงินฝาก แต่ต้องใช้คนค้ำ เธอจะลองให้รุ่นพี่หาคนที่ว่านั้นให้
หญิงสาวหยิบมือถือมาชาร์ทแบทข้างเตียง มีข้อความแจ้งเตือนไลน์มาจากหลานทั้งสองที่อยู่ในวัยประถมและมัธยม บอกว่าที่เรียนพิเศษทวงค่าเรียนแล้ว เนื่องจากน้าผัดมาสองเดือน หลานไม่กล้าเล่าให้มารดาฟัง ด้วยเห็นว่าเครียดอยู่แล้วด้วยอาการเจ็บป่วยของบิดา เกวลีจึงขอบัญชีที่เรียนพิเศษแล้วบอกว่าจะโอนเงินให้พรุ่งนี้ เธอจำต้องขอยืมเจ้ว่านอีกเสียแล้ว
บริษัทของเกวลีเป็นบริษัทผลิตยา เธอประจำอยู่ในสำนักงานใหญ่ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการอาวุโส เรียกให้ง่ายเข้าคือตำแหน่งเบ้รับใช้ของทุกแผนกดี ๆ นั่นเอง เจ้ว่านในตำแหน่งรองผู้จัดการกำลังนั่งกินปาท่องโก๋อยู่ตอนเธอไปคุย
“ห้าพันพอให้ยืมได้ เจ้เชื่อใจฟ้าน นี่เงินเป็นแสนเจ้ต้องหาคนค้ำนานหน่อย”
“ฟ้านมีเรื่องต้องรีบใช้ด่วนจริง ๆ ค่ะเจ้”
สาวรุ่นพี่รู้ปัญหาของเธอดี เพราะเกวลีไม่เคยปิดบัง
“เจ้เข้าใจ แต่เศรษฐกิจอย่างนี้มันก็ฝืดกันทุกคน”
สาวใหญ่กัดอาหารเช้าเคี้ยวหยับ ๆ
“ฟ้านเพิ่งไปงานเลี้ยงรุ่นมหาวิทยาลัยมาไม่ใช่เหรอ พอจะมีใครที่จะหยิบยืมได้บ้างไหม”
รุ่นน้องกัดริมฝีปากนึกถึงข้อเสนอของปารวิชญ์ขึ้นมาทันใด
“เจ้...คิดว่าตัวหนูจะขายได้สักเท่าไร”
คนฟังชะงัก มองเธอตาโต
“อย่าบอกนะว่าฟ้านจะไปขายไต แบบน้องออยเอชอาร์ที่มันเคยคิด”
เจ้ว่านพาดพิงถึงสาวร่วมบริษัทอีกคนที่เป็นติ่งเกาหลี เวลามีคนเสริ์ตทีไรเงินมักไม่พอจนต้องหยิบยืม ออยเคยโพล่งขึ้นตอนกินข้าวกลางวันด้วยกัน เล่นเอาพี่ ๆ ต้องเบรกกันตัวโก่ง เจ้ว่านถึงขนาดห้าข้อมูลในกูเกิ้ลแล้วบอกว่าราคาไตอยู่ที่ห้าหมื่นบาท แลกกับสุขภาพที่ต้องดูแลเพิ่มขึ้น ได้ไม่คุ้มเสียเลย
“เปล่าเจ้ แบบ...ไปทำงานพิเศษ หลังเลิกงานงี้”
เธอเล่าอุบอิบ แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตอันยาวนานเจ้ว่านก็จับพิรุธได้อยู่ดี
“จะไปเป็นสาวเชียร์เบียร์เหรอ”
“เปล่า...คือจะไปช่วยงานเพื่อน แบบพนักงานพาร์ทไทม์ แม่บ้านรายชั่วโมงอะไรอย่างงี้ค่ะ”
คนไม่เคยโกหกลุกลี้ลุกลน
“ไหนเล่ารายละเอียดให้เจ้ฟังสิ จะได้ช่วยกันดูว่ามันปลอดภัยหรือเปล่า เรายิ่งซื่อ ๆ อยู่ด้วย”
“งั้นเดี๋ยวฟ้านถามเพื่อนแล้วจะมาเล่าให้เจ้ฟังอีกทีนะ ตอนนี้ขอไปทำงานก่อนค่ะ”
เกวลีรีบชิ่ง เธอพยายามทุกหนทางที่มีแล้วในการหาเงิน วันที่หนึ่งผ่านไปพร้อมอาการนอนไม่หลับ วันที่สองหญิงสาวปวดหัวจนต้องขอลางาน กินยาแก้ปวดกับโจ้กจนหลับไปครึ่งค่อนวัน ตื่นมาอีกทีพร้อมการแจ้งเตือนไลน์จากน้า
ญาติเล่าว่าหมอจะให้สามีกลับบ้านวันรุ่งขึ้น แต่ต้องมีการรักษาต่อเนื่อง ปัจจุบันน้าเขยอยู่โรงพยาบาลเอกชน เพราะรอคิวรักษาที่โรงพยาบาลรัฐบาลไม่ไหว หากจะกลับมารักษาต่อเนื่องที่เดิมค่ารักษาเดือนละหลายหมื่น หากไปรอคิวที่โรงพยาบาลรัฐน้าก็สงสารสามี เกวลีปลอบให้สู้ ๆ
หญิงสาวพยุงตัวเองเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแล้วพินิจดูรูปร่างหน้าตาตนหน้ากระจก พลางคิดถึงข้อเสนอของปารวิชญ์ขึ้นมา ในสมองตื้อ ลำคอตีบตัน อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
นี่เธอต้องเป็นนางบำเรอให้เพื่อนแล้วละหรือ ช่างเถิด มันไม่ถึงกับตายหรอก แค่นอนกับผู้ชายสักคน ผู้หญิงกว่าค่อนโลกเขาก็ทำกันทั้งนั้น เว้นเสียแต่เธอจะเป็นผู้หญิงกลุ่มพิเศษ ใช้เซ็กซ์ทำเงิน การกระทำสุจริต ไม่ได้ฆ่าใครตาย อย่างน้อยปารวิชญ์ก็น่าจะน่ากลัวน้อยกว่าเสี่ยอ่าง
มือบางหยิบมือถือคู่กายขึ้นมา กดไลน์ไล่หาชื่อเขา แล้วพิมพ์แชทไป
Fanchai:ฉันตกลงรับข้อเสนอ
ข้อความนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ไม่มีการกดอ่าน เธอกำมือถือแน่นจนรู้สึกมือเปียกลื่น ใจคิดไปในแง่ร้าย หรือว่าปารวิชญ์แค่แกล้งเล่น เขาให้ความหวังเพื่อเล่นสนุกหรือเปล่า
พลันข้อความก็ขึ้นเครื่องหมายว่าอ่านแล้ว ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเธอกับปลายทาง
Boom_Boom:ฟ้านต้องไปตรวจโรคก่อน แล้วเอาใบตรวจมาให้ฉัน
Fanchai:มันต้องรอหลายวัน แต่ฉันต้องใช้เงินด่วน บูมก็รู้นี่
เกวลีนิ่วหน้ากับข้อแม้นั้น
Boom_Boom:ถ้าไม่ตรวจฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าฟ้านไม่มีโรค
เธอนิ่งไปอึดใจ ก่อนกลั้นใจพิมพ์
Fanchai:ฉันไม่เคยมีอะไรกับใคร สาบานได้ ฉันยังซิงตามที่บูมว่านั่นแหละ
Boom_Boom:ตอนนี้อยู่ที่ไหน
Fanchai:หอ
Boom_Boom:ไม่ไปทำงานเหรอ
Fanchai:ฉันปวดหัวเลยลาหยุด
Boom_Boom:ฉันจะไปหา รออยู่หน้าหอนะ
เกวลีแทบทำโทรศัพท์หล่นจากมือ
Fanchai:จะมาทำไม
Boom_Boom:เช็กสภาพของ รอนะ
เธอเอามือกุมอกซ้าย สัมผัสได้เลยว่าหัวใจเต้นแรงมาก ปารวิชญ์ทำอะไรที่คาดไม่ถึงอีกแล้ว เขาจะมาหาเธอ บอกว่าจะมาเช็กสภาพของ ใบหน้าหญิงสาวแดงแปร๊ด หมายถึงเขาจะมาดูรูปร่างใต้ร่มผ้าเธอหรือว่าจะมาลองมีอะไรกันที่นี่ละหรือ
เกวลีรีบเก็บผ้าผ่อน จัดห้อง และอาบน้ำจัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ได้กลัวเขาเหม็น แต่เธอไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เช้า อย่างน้อยก็ขอให้ตัวเองสะอาดเพื่อความสบายใจหน่อยเถอะ
ปารวิชญ์โทรไลน์มาในอีกหนึ่งชั่วโมงว่ามาถึงหน้าปากซอยแล้ว เกวลีออกไปยืนโบกมือให้เขาหน้าประตูหอ รถยุโรปราคาแพงเป็นของแปลกสำหรับหอชานเมืองเช่นนี้ มันเรียกความสนใจจากรปภ.และแม่บ้านหอน่าดู
“พาไปห้องฟ้านสิ”
เขาสวมสูทสีเทาควันบุหรี่ เชิ๊ตขาว กางเกงสแล็กดำ และรองเท้าขัดจนมันปลาบ
“ห้องฉันเล็ก ถ้าอยากคุยอะไรกันก็ไปที่อื่นเถอะ”
เธอเลี่ยง
“หรือเธอจะให้ฉันเช็กตัวเธอในที่ชุมชนต่อหน้าใครต่อใครล่ะ”
เขาค้อมตัวมากระซิบ
“ฉันไม่ชอบโรงแรมม่านรูดเสียด้วย”
ชายหนุ่มพึงพอใจที่เห็นเธอหน้าแดงจัด น่ารักดี ตัวเกวลีมีกลิ่นแป้งเด็กหอมอ่อน ๆ ชื่นจมูก หญิงสาวจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพาเขาเข้าห้องตน ปารวิชญ์ไม่ชอบใจในความคับแคบ แต่พึงใจที่มันดูเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน
เธอเตรียมจะกางโต๊ะญี่ปุ่นที่ใช้เป็นที่รับแขก ทว่าเขาแตะไหล่ลาดเนียนไว้เสียก่อน เกวลีผินหน้ามายังเขา ปารวิชญ์ใช้มืออีกข้างหมุนเอวให้ร่างเธอมาแนบชิดอกแกร่ง
ปากรูปกระจับฉกวูบลงบนกลีบกุหลาบสีอ่อน เกวลีตาโต เขาชำแรกแทรกลิ้นเข้าหาความหวานทั่วโพรงปาก รุกไล่เรียวลิ้นเล็กที่หลบหนีเขาอย่างไม่ประสา
“อื้อ...” เธอส่งเสียงประท้วง พลางยกมือกุมอกเสื้อสูท
ชายหนุ่มใช้ชั้นเชิงอย่างชำนาญ พิสูจน์บางอย่าง เกวลีหายใจไม่ออก เพราะเจ้าของร่างใหญ่โตช่วงชิง ครอบครองไปเสียหมด
“อื้อ...” เธอประท้วงครั้งที่สองพร้อมตาเริ่มลาย หากจะมีใครรายแรกตายจากการจุมพิต คนคนนั้นน่าจะเป็นเกวลี
“ฟ้านไม่เคยจูบใครใช่ไหม”
ผู้ร้ายขโมยลมหายใจถอนริมฝีปากออก มองกลีบกุหลาบตาปรอย หญิงสาวรีบสูดหายใจลึก กอบโกยอากาศเข้าปอดดังคนเพิ่งพุ่งพรวดขึ้นจากน้ำ
“ถึงจูบไม่ได้เรื่องแบบนี้”
ตาคมส่งแววหวานเชื่อม เขาได้ของดีมาแล้วสิ เธอซิงขนาดไม่เคยแม้แต่จะจูบ อาจไม่เคยกระทั่งจับมือผู้ชายด้วยซ้ำกระมัง
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันยังซิง จะไปเคยทำเรื่องพวกนี้ได้ไง”
เกวลีโต้ตอบตาขุ่น จมูกปากกลับมาเป็นของตนแล้ว แต่ร่างยังอยู่ในอ้อมกอดเขา
“ถือว่าข้อที่หนึ่งผ่าน”
ปารวิชญ์วัดเอวคอดด้วยมือตน พบว่าเธอมีส่วนเว้าโค้งพอตัว ชักอยากสำรวจใต้ร่มผ้าเสียแล้วสิ
“ฉันอยากขอเงินก่อน”
เกวลีเรียกสติที่กระจัดกระจายกลับมา นึกถึงน้า นึกถึงหลานเข้าไว้
“ฟ้านขอเงินไปก่อนแล้วถ้าไม่ให้ฉันเอา หรือผลตรวจโรคไม่ผ่านล่ะ”
ตาคมมองลึกค้นคว้าเข้าไปในดวงตาเธอ
“ฉันไม่หนีหรอกบูม ฉันยังซิง สาบานได้”
หญิงสาวจ้องกลับ ในห้องพักคับแคบนั้นได้ยินเพียงเสียงหายของแต่ละคน
“บูมก็รู้ว่าฉันต้องเอาเงินไปคืนเสียอ่างในอีกสามวัน ถ้ามัวแต่รอ ไม่รู้เขาจะทำอะไรน้าฉันบ้าง”
เสียงสั่น ๆ ทำใจเขาอ่อน แต่ปารวิชญ์ก็ซ่อนอาการไว้ใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย
“งั้นเอาบัญชีมา เดี๋ยวฉันโอนให้”
เขาล้วงมือถือออกมาจากอกเสื้อสูท
“ห้าแสนนะ”
ซีอีโอหนุ่มกดเปิดแอปพลิเคชันธนาคาร
“บูมจะว่าอะไรไหมถ้าฉันขอสามล้าน”
เขาละสายตาจากมือถือ ขมวดคิ้วมองเธอ
“คือ... นอกจากหนี้เสี่ยอ่างแล้ว น้ากับฉันมีหนี้เล็ก ๆ น้อย ๆ กับจะเก็บไว้เป็นค่ารักษาตัวต่อเนื่องจากน้าทิศต่อ” เธอแจงเหตุผล
“แล้วฉันต้องเอาเธอกี่ครั้งมันถึงจะคุ้มเงินที่เสียไปเนี่ย”
