Chapter 2
นางบำเรอที่ดี...ต้องรู้จุดประสงค์เจ้านาย
ณ ที่อโคจครแห่งนี้มีเสียงไฟสลัว ๆ เสียงเพลงเร้าพอให้ใจเต้น เข้ากันได้ดีกับคลับหรูแถวเอกมัย ปารวิชญ์หัวเสียนิดหน่อยที่ให้เลขาโทรมาจองห้องวีไอพีแล้วกลับไม่ได้เข้าใช้ ผู้จัดการไหว้ขอโทษแล้วบอกว่าเครื่องปรับอากาศห้องนั้นเสียกะทันหัน กลุ่มชายหนุ่มจึงต้องมานั่งที่โซฟาห้องธรรมดา
ผู้จัดการรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะลดค่าอาหารให้สามสิบเปอร์เซ็นต์ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับชายหนุ่ม ติดแต่ว่ากลุ่มเพื่อนจะโอเคหรือเปล่า แต่ไม่เห็นมีใครว่าอะไร จึงนั่งดื่มกันแบบเลยตามเลย กลุ่มนี้เป็นเพื่อนร่วมวงการงานและเป็นก๊วนกอล์ฟด้วย สัปดาห์หนึ่งจะนัดดื่มกันสักครั้ง
ห้องธรรมดาของคลับแห่งนี้ไม่ได้น่ารังเกียจอะไรนัก เสียแต่ว่าเสียงดังไปหน่อย
“พอมาถึงก็เข้ามาเลย บอกว่ามาเจอเสี่ยอ่าง เดี๋ยวเด็กมันก็พาเข้ามาเอง”
เสียงห้าวแบบวางอำนาจดังจากโต๊ะติดกัน ปารวิชญ์ที่ฟังเพื่อนคุยอยู่เงียบ ๆ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้ยิน
“ใครจะมาเหรอเสี่ย”
เพื่อนฝ่ายนั้นถาม
“ลูกหนี้ คนนี้เด็ก ขาว มันบอกจะมาจ่ายหนี้วันนี้ กูไม่เชื่อ ถ้าไม่ได้เงินวันนี้กะจะเคลมสักหน่อย”
“แหม...เสี่ยมีเอมี่อยู่แล้วยังจะนอกใจ”
สาวในโต๊ะกระเง้ากระงอด
“เฮ้ย! เปลี่ยนบรรยากาศบ้างสิ คนนี้หงิม ๆ ติ๋ม ๆ อยากรู้บนเตียงจะครางขนาดไหน”
คนพูดหัวเราะลงคอ
“กูจะเอาเด็กมันแทนดอก”
“เจ้าหนี้หน้าเลือด”
สาวว่าเสียงไม่จริงจังนัก ปารวิชญ์ฟังแล้วหดหู่ แต่ทำอย่างไรได้ ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรไปยุ่ง โลกนี้ปลาใหญ่กินปลาเล็กเป็นสัจธรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ว่าแต่เสี่ยอ่างนี่ชื่อโหลจริง ๆ เจ้าหนี้ของเกวลีก็ชื่อนี้ ปารวิชญ์ไม่ได้ติดใจอะไรเธอ หากเปรียบเกวลีเป็นดอกไม้ เธอน่าจะเป็นดอกอะไรสักอย่างที่ขาว ๆ ซีด ๆ ท่ามกลางผู้หญิงมากมายที่เปล่งรัศมีเฉิดฉายราวกุหลาบแสนสวย เธอดูอยู่ผิดที่ผิดทาง จนกลายเป็นของแปลก
ว่าแต่ตอนนี้เธอหาเงินคืนเจ้าเสี่ยอ่างคนนั้นได้แล้วหรือยังหนอ หรือจะไปยืนเสียงเครือทำนัยน์ตาโศกอ้อน หากเธอจะมีมารยาหญิงเหลืออยู่บ้างละนะ
เหล้ายังไม่ทันจะหมดแก้วที่สาม ร่างใครบางคนก็ปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา ...ปลายสายตาจริง ๆ นะ เพราะปารวิชญ์หลบวูบ จงใจไม่ให้อีกฝ่ายเห็น เกวลีในชุดพนักงานออฟฟิศ ผมรวบมัดเป็นหางม้า สวมกระโปรงคลุมเข่าเดินตามหลังบริกรมา
“มา ๆ ฟ้านมานั่งนี่”
เป็นเธอจริง ๆ ไม่มีใครจะมีชื่อเล่นแปลกอย่างนี้หรอก ปารวิชญ์ขยับไปนั่งซุกมุม กะเลี่ยงจุดที่สายตาเธอจะแลมาเห็น แต่ยังได้ยินการสนทนาชัด
“ไหนละเงินห้าแสนพร้อมดอกเบี้ย”
เสี่ยใหญ่ไม่ยอมให้ลูกหนี้หายใจหายคอ ถามเข้าเป้าตรงประเด็น อีกฝ่ายเงียบไป
“ขอเวลาอีกสักสองอาทิตย์ได้ไหมคะเสี่ย”
เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ สั่น
“ฉันให้เวลามานานแล้วนะ รู้ไหมดอกเบี้ยมันเดินไปเท่าไรแล้ว”
ปารวิชญ์คิดท่าทางเธอออก เกวลีต้องกำลังก้มหน้าอยู่แน่ ๆ
“ขอร้องละค่ะเสี่ย อีกสองอาทิตย์”
“แล้วฟ้านจะไปเอาเงินที่ไหนมาให้ฉัน ทิศมันก็ป่วยอยู่ บ้านรถก็ติดหนี้ธนาคาร”
อืม...ผู้ชายของเธอชื่อทิศ หลงมากขนาดกู้บ้านซื้อรถให้
“ฉันกับน้าจอยกำลังหาเงินอยู่ค่ะ เสี่ยรออีกหน่อยนะคะ”
แล้วจอยนี่ใคร เขาชักงง กับตัวละครที่งอกออกมา
“แล้วฉันจะมีอะไรเป็นหลักประกันล่ะว่าหนี้จะไม่สูญ ดอกเบี้ยฟ้านกับน้าก็ยังไม่มีให้”
ปารวิชญ์ใจกระตุกหนึ่งจังหวะ เมื่อรู้ว่าบุคคลที่เสี่ยอ่างอ้างถึงนั้นเป็นญาติเธอ ไม่ใช่คนรัก
“ฉัน...”
การไม่รู้จะตอบอย่างไร ยิ่งทำให้เจ้าหนี้รุกไล่
“เอาอย่างนี้ดีไหม ฟ้านมาเป็นเด็กฉันแล้วจะลดหนี้เป็นพิเศษให้”
ความหัวงูแสดงออกผ่านน้ำเสียง
“งานง่าย ๆ สบาย ๆ”
“ไม่เอานะคะเสี่ย ฉันไม่เป็นเมียน้อยใคร”
ลูกหนี้ปฏิเสธละล่ำละลัก
“ฉันแค่จะมาหานาน ๆ ครั้ง ส่วนอีแก่ที่บ้านก็ปล่อยไป มันไม่มายุ่งหรอก”
ปารวิชญ์เดาเลยได้ว่าเสี่ยอ่างคงเรียกร้องดอกเบี้ยกับลูกหนี้สาว ๆ ด้วยวิธีนี้มาหลายรายแล้ว
“ฉันให้เวลาตัดสินใจสามวัน ถ้าไม่ตกลงก็เอาเงินต้นพร้อมดอกมาคืน ถ้าไม่มีให้ฉันจะให้ลูกน้องไปจัดการ”
ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากเกวลี แต่ชายหนุ่มเห็นปลายหางม้าของเธอไหว ๆ วิ่งไปทางประตูทางออก
“ผมกลับก่อนนะ เบื่อแล้ว ง่วง”
ปารวิชญ์ลุกออกจากโต๊ะเหมือนกัน ขาวยาว ๆ ก้าวพ้นประตูร้านด้วยเวลาไม่นาน ตาคมเห็นร่างโปร่งบางยืนสั่นอยู่ที่ลานจอดรถ สภาพเธอเดินสโลสเลเหมือนคนจะล้มแหล่มิล้มแหล่ ชายหนุ่มกำลังคิดว่าจะทักเธออย่างไรดีในสถานการณ์แบบนี้
ทันใดนั้นรถยุโรปเครื่องแรงก็แล่นเข้ามาในลานจอด คนขับแทบเบรกไม่ทันเมื่อเห็นเธอ ปารวิชญ์รีบไปคว้าร่างเพื่อนหลบไปที่ซอกรถอีกคน คนขับเปิดกระจกรถมาด่าด้วยเสียงอันอ้อแอ้ ก่อนขับกระชากรถออกไป
“บูม”
เกวลีมองหน้าเขางง ๆ
“เดินเหม่ออะไรนะฮึฟ้าน เกือบโดนรถชนแล้วไหมละ”
เขาปล่อยมือจากแขนนิ่ม เธอผอมมาก ขนาดมือเขากำรอบแขนได้เลยทีเดียว
“แล้วบูมมาทำอะไรที่นี่ มาเที่ยวเหรอ”
หญิงสาวมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ปารวิชญ์อยู่ในเชิ๊ตลำลองกับสูทสีควันบุหรี่ ผมตกระหน้าผากนิด ๆ ได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายเจือกลิ่นแอลกอฮอล์
“อือ แล้วฟ้านมาทำอะไรที่นี่”
เธอหลบสายตา เล่าอุบอิบ
“มาทำธุระส่วนตัวนิดหน่อย”
“ดึกแล้ว เดี๋ยวฉันไปส่ง”
คืนที่มีเหตุให้ต้องกังวลเช่นนี้ ปารวิชญ์ยังมีคุณธรรมพอที่จะไม่ปล่อยให้คนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกลับบ้านคนเดียว
“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับเองได้ ขอบใจมาก”
“ผู้หญิงกลับบ้านคนเดียวเวลานี้ มันอันตราย”
หายากมาก ที่ผู้หญิงจะปฏิเสธไม่ยอมนั่งรถไปกับเขา
“ฉันจะกลับรถเมล์”
เกวลียังดื้อ
“แล้วเมื่อไรรถจะมา เมื่อไรจะถึงบ้าน”
หญิงสาวมองเขาแล้วกัดริมฝีปาก ที่ปารวิชญ์ถามมาเธอก็ยังตอบไม่ได้
“ไปกับฉัน เดี๋ยวไปส่ง ไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า”
เขาดึงกระเป๋าสะพายออกจากไหล่ลาดเล็ก เป็นผลให้เธอต้องยื้อสมบัติส่วนตัวไป
“ไปกับฉันนะฟ้าน ถ้าไม่อยากให้กระเป๋าขาด”
แรงเธอนิดเดียว เขากระตุกทีเดียวคงล้มโครมมาหาแน่ แต่ปารวิชญ์ไม่ชอบใช้วิธีขี้โกงแบบนั้น แค่แย่งกระเป๋าเธอมานี่ก็มากพอแล้ว
“ไม่เชื่อใจหรือไง ฉันเพื่อนเธอนะ”
เขาอยู่ในสภาพลากเธอพร้อมกระเป๋ามาทางรถสปอร์ตของตน เปิดประตู แล้วดันคนดื้อเข้า ลงตัวให้ลงบนที่นั่ง จับคาดเข็มขัดนิรภัย
“บูมปล่อยฉันก่อน”
เธอไม่ได้เตรียมใจว่าจะมาเจอสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ มาพบอีกคนแต่กลับบ้านกับอีกคน
“นั่งนิ่ง ๆ เฉย ๆ”
เขาว่าแล้วเดินประตูฝั่งคนขับ เข้าประจำที่แล้วพารถคันงามออกจากลานจอดไป
“บ้านเธออยู่ไหน”
เจ้าของรถชวนคุย
“รังสิต” เธอจำต้องตอบ
“บอกทางด้วยละกัน”
เกวลีบอกชื่อซอยที่เป็นที่ตั้งหอพักเธอ เขาพยักหน้า แล้วในรถก็เงียบ ปารวิชญ์ไม่ชอบเปิดเพลงเวลาขับรถ เขาฟังแล้วมันทำลายเสียงเพราะ ๆ ของเครื่องยนต์หมด ขณะเกวลีกำลังอึดอัดใจ นี่น่าจะเป็นฉากในฝันหวาน หากไม่ได้ยินข้อเสนอให้เป็นเด็กเสี่ยขึ้นมาเสียก่อน แค่คิดถึงหัวล้าน ๆ พุงพลุ้ย ๆ และสายตากะลิ้มกะเหลี่ยของเสี่ยอ่างนั่นเธอก็ขนลุกเกรียว คำถามของเขาดึงเธอออกมาจากภวังค์
“หิวไหม”
เกวลีมองหน้าเขาพร้อมเม้มปาก
“...”
“กินอะไรมาหรือยัง”
คะเนจากตอนที่เจอกันในคลับ ท่าทางเธอรีบมา น่าจะยังไม่ได้กินข้าวเย็น
“ฉันไม่หิว บูมหิวเหรอ”
“อยากกินอะไรร้อน ๆ แวะร้านข้าวต้มไหม”
ในสมองชายหนุ่มความคิดสองขั้วกำลังตีกันวุ่น หนึ่งคือให้พาเธอกลับบ้านไปเสียจะได้จบ ๆ ไป ส่วนอีกหนึ่งคืออยากพูดคุย ซึ่งจะคุยทำไมเขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้
“กินเป็นเพื่อนหน่อย”
รถคันงามเลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านอาหารกลางคืนที่มีไฟดัดเป็นรูปปลาและหม้อไฟ
“ฉันเลี้ยง”
นี่สิถึงจะสมกับความเป็นจริง เกวลีได้มากินข้าวกับปารวิชญ์ ...ในความหมายนั้นจริง ๆ แบบไม่โรแมนติก ณ ร้านข้าวต้มปลา
ปารวิชญ์ถอดสูทโยนไว้ในรถ เดินไปสั่งของอาหารสองสามอย่าง แล้วรินน้ำเปล่าจากขวดแก้วให้เธอ
“คิดถึงสมัยยังเรียนเนอะ ถ้าอยู่คณะดึก ๆ พวกเราก็เฮโลกันมากินข้าวแบบนี้”
เขาเล่าเรื่องเก่า สร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นหน่อย
“ตอนนั้นสนุกที่สุดเลย”
เธอเห็นด้วย แต่มันก็เป็นแค่อดีตที่มีไว้ให้แค่คิดถึง ตอนนี้มีเรื่องหนักอึ้งในหัวต้องคิด
“วันงานเลี้ยงรุ่นเราไม่ได้คุยกันเลย”
หญิงสาวเลิกคิ้ว ทำไมเขาถึงต้องมาคุยกับเธอกันล่ะ ปารวิชญ์เป็นจุดเด่นอยู่ท่ามกลางเพื่อน ขณะเธอหลบมุมกินดื่มไปเงียบ ๆ
“บูมสบายดี ฉันก็สบายดี มันน่าจะโอเคแล้วนะ”
เส้นทางชีวิตระหว่างเธอกับเขาเป็นคู่ขนาน โลกที่อยู่ก็ต่างกัน แค่เจอ ทักทายนิดหน่อย ยิ้มให้แล้วต่างคนต่างไปก็น่าจะพอ
“ถ้าไม่อยากเป็นเด็กเสี่ยอ่าง มาเป็นเด็กฉันไหมล่ะ”
เกวลีอ้าปากเหวอ ตาโตเหมือนเห็นผี
“นี่คือจุดประสงค์ที่ฉันพาเธอมาคืนนี้”
