บทที่5 สาสน์ด่วน
ไยภรรยาเจ้าเมือง จึงเอาความคิดคร่ำครึนั่นมาทำร้ายลูกตัวเอง เรื่องนี้คงต้องจัดการเสียใหม่ หาไม่แล้วเด็กสาวอีกมาก ต้องตกที่นั่งลำบากไปจนวันตาย
“ลูกรัก เจ้ามิต้องทำเช่นนั้นเลย เข้าใจหรือไม่ ดูท่านอาเยว่ฉี ท่านย่าของเจ้าสิ มีผู้ใดทำแบบนั้นกัน สตรีที่จะมีค่า ต้องเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด เพียงเจ้ามิเป็นคนเลว นั่นก็ดีมากแล้วรู้หรือไม่ ฮูหยินท่านเจ้าเมืองนางวิปลาสไปแล้ว หากเลี่ยงที่จะพบปะนางได้ ย่อมเป็นการดีเข้าใจหรือไม่”
เฉินเซียน ข่มกลั้นความไม่พอใจสตรีผู้นั้นเอาไว้ในใจ สักวันเขาจะสั่งสอนนางให้หลาบจำ ที่กล้ามาว่าบุตรสาวของเขาไร้ค่า เพราะเขารู้ดีอย่างไรเล่าว่าบุตรสาวในสกุลใหญ่จะต้องพบเจอสิ่งใดบ้าง
เขาจึงหอบลูกหนีมาอยู่ถึงชายแดน บิดามารดาของเขาเลี้ยงน้องสาวของเขาโดยให้อิสระแก่นาง เขาก็ทำเช่นเดียวกับบิดา ‘ไยลูกข้าต้องเหมือนผู้อื่น ต่อให้นางไร้สามีนางก็มิมีวันอดตาย’
“จริงนะเจ้าคะท่านพ่อ หลันเอ๋อร์มิต้องทรมานตนเองเช่นนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เด็กน้อยยังคงมีสีหน้ากังวลอยู่มาก นับตั้งแต่วันนั้น เมื่อนางกลับมาถึงบ้าน นางก็ได้สอบถามกับท่านย่าซีเหนียง ถึงสิ่งที่ได้รับรู้มา ซึ่งคำตอบก็มิได้กระจ่างชัดเท่าใดนัก ด้วยคำตอบของท่านย่านั้น บอกเพียงว่าทุกอย่างขึ้นที่คุณหนู จะเป็นผู้เลือกมันด้วยตนเองเท่านั้น
“เด็กดี ไม่ว่าเจ้าจะร่ายรำมิเป็น ทำอาหารไม่เก่ง หรือเล่นดนตรีไม่ได้ ขอแค่ลูกพ่อดูแลตัวเองได้ มิเป็นภาระของผู้ใดยามไร้บิดาผู้นี้ ไม่รังแกหรือดูหมิ่นคนที่ด้อยกว่าเจ้า แค่นี้ก็นับว่าดีมากแล้ว สำหรับเจ้าเข้าใจไหม”
เฉินเซียนยอมให้ลูกฝึกฝนการต่อสู้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะต้องบีบบังคับบุตรสาว ให้ทำทุกอย่างเช่นบุตรสาวตระกูลใหญ่ ที่หวังเพียง เป็นที่ต้องตาบุรุษผู้มีอำนาจ หรือเข้าวังเป็นสตรีของมังกร ดอกไม้ที่เบ่งบานในแจกัน หรือจะสู้ดอกไม้ ที่เบ่งบานอยู่บนกิ่งก้านของตนเอง
“หลันเอ๋อร์เชื่อฟังท่านพ่อเจ้าค่ะ”
เด็กน้อยใช้จมูกชนแก้มสากของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะกอดรอบลำคอแกร่งของบิดาอีกครั้ง เสียงหัวเราะของสองพ่อลูก สร้างรอยยิ้มให้แก่ทุกคนภายในบ้านบนเขาหลังหลังเล็กนี้เสมอ
สองวันถัดมา ณ ค่ายทหารชายแดนใต้
ภายในกระโจมพักของแม่ทัพลู่ฉางเอิน เวลานี้เขากำลังนั่งจิบสุรากับรองแม่ทัพลู่ฉง ผู้เป็นบุตรชายคนรอง พร้อมนายกองทั้งสี่ และทั้งหมดกำลังต่างถกเถียงกัน เรื่องทำศึกกับแคว้นเหลียวอย่างออกรส
แม้พวกเขาทุกคนจะเหมือนไม่อาทรร้อนใจ และพูดจากันโผงผางเสียงดัง ทว่านี่เป็นเพียงเปลือกนอก ซึ่งเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด ในยามมีการประชุมกัน
ทำให้สายข่าวจากต่างแคว้น ไม่เคยล่วงรู้เนื้อหาที่แท้จริง เกี่ยวกับแผนการรบ ของกองทัพสกุลลู่เลยสักครั้ง เพราะครั้งใดผู้นำทั้งหลายก็จะทะเลาะกัน หรือไม่ก็ดื่มสุราจนเมามาย หาสาระและข้อสรุป เพื่อไปแจ้งแก่นายตนมิเคยได้เลย ถึงได้ไป...ก็มิใช่อย่างที่คาดเดาสักหน
“เรียนท่านแม่ทัพ มีสาสน์ด่วนจากวังหลวงขอรับ” เสียงรายงานของทหารด้านหน้ากระโจม ทำให้ทุกคนเงียบเสียงลง
“เข้ามา”
แม่ทัพใหญ่ลู่ฉางเอิน เอ่ยปากอนุญาตในทันที เมื่อได้ยินคำว่าวังหลวง เพียงครู่เดียว ม่านกระโจมได้ถูกเปิดออก ก่อนร่างสูงของทหารที่เป็นผู้นำสารได้ก้าวเข้ามา
นายทหารได้นำสาสน์ ไปยื่นส่งให้แก่ผู้นำของตน ลูกฉางเอินรีบยื่นมืออกไปรับอย่างร้อนใจ ถ้าเป็นสารจากที่อื่น เขาคงมิรู้สึกเช่นนี้เป็นแน่ แต่คำว่าวังหลวง ราวกับเปลวเพลิงที่รนก้นเขา ให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา
เมื่อรับซองผ้าลวดลายคุ้นเคยมาไว้ในมือ แม่ทัพใหญ่ได้รีบเปิดออกดู ก่อนจะนำกระดาษชั้นดี ออกมาคลี่อ่านในทันที เพียงครู่เดียว ใบหน้าของแม่ทัพใหญ่ ถึงกับแปรเปลี่ยนไปหลากหลายอารมณ์ จนยากจะคาดเดา ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรอยู่ในขณะนี้
“ท่านแม่ทัพใหญ่ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือขอรับ”
นายกองเยว่หลี่ เอ่ยถามเป็นคนแรก หลังจากผู้นำของตนได้พับกระดาษในมือเอาไว้แล้ว แต่ยังคงเงียบงันอยู่มิเอ่ยสิ่งใดออกมา หรือว่าเรื่องนี้ พวกเขามิอาจล่วงรู้ได้กัน
หากเป็นเช่นนั้น ไยมิกล่าวสิ่งใดออกมาสักคำเล่า ลู่ฉางเอิน กวาดสายตามองทุกคน ด้วยความรู้สึกหนักใจ เรื่องนี้นับว่าสำคัญยิ่งนัก และบางครั้งความรู้สึก ก็สามารถอยู่เหนือหน้าที่ได้เช่นกัน
“แม่ทัพจ้าวตงชินบาดเจ็บสาหัส กุนชือหยางหม่าถูกสังหาร ฝ่าบาทต้องการกุนซือคนใหม่ เพื่อเดินทางไปยังชายแดนทิศเหนือ เพื่อช่วยเหลือท่านอ๋องสิบแปด เพื่อไปทำหน้าที่นำทัพต้าน ศัตรูแทนแม่ทัพจ้าวตงซิน”
ทุกคนมองผู้นำของตน ด้วยสายตามีคำถาม ยิ่งเห็นท่าทางลำบากใจของแม่ทัพผู้มีแต่รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะอยู่มิเคยขาด ยิ่งทำให้พวกเขาพลอยร้อนใจไปด้วย
“ต้องการกุนซือ เพื่อเดินทางไปพร้อมท่านอ๋องสิบแปด ในเมืองหลวงมีมากมาย ไยท่านแม่ทัพต้องทำท่าทางหนักใจปานนั้นเล่าขอรับ การแจ้งข่าวก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว นอกจากว่าคนที่ฝ่าบาทต้องการจะอยู่ที่นี่ หรือว่า...”
เป็นรองแม่ทัพลู่ฉง ที่เอ่ยขึ้นบ้าง ก่อนจะหยุดคำพูดลง เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ‘ไยข้าลืมเรื่องนี้ไปได้กัน หวังว่ามันจะมิใช่เรื่องจริง’
“อืม...รองแม่ทัพคิดถูกต้องแล้ว”
แม่ทัพใหญ่ จ้องมองเข้าไปในตาของบุตรชายคนรอง ที่รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพข้างกาย อย่างรู้ใจซึ่งกันดี แม้ว่าลู่ฉงจะมิเอ่ยสิ่งที่คิดอยู่ออกมา แต่แม่ทัพใหญ่ลู่ฉางเอินรู้ดี ว่าคำต่อไปจะเอ่ยถึงผู้ใด
“ไม่นะ/ไม่จริงใช่หรือไม่”
สี่นายกองต่างเอ่ยประสานเสียงกัน โดยมิได้นัดหมาย หากเป็นเช่นนั้นจริง เท่ากับเมืองหลวง ต้องการตัดกำลังทางสมองของพวกเขา อย่างตั้งใจเลยทีเดียว ด้วยความที่อยู่ร่วมเป็นร่วมตายกันมานาน แค่คำพูดที่ขาดหาย ทุกคนยังรู้ว่าหมายถึงอะไร มีเพียงคนเดียว ที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องเอ่ยชื่อ ก็รู้ว่าคือผู้ใด…
