บทที่2 ข้อเสนอ
“อยากได้หัวข้า ก็เอาหัวเขามาแลก เจ้าว่าข้อเสนอสุดท้ายเพิ่มเติมแบบนี้ดีหรือไม่!”
“บังอาจ!”
“ฮึ! ในเมื่อนายเจ้าไม่รู้จักกฎของการทูต เช่นนี้แล้ว...ยังจะหาญกล้ามาเจรจาอยู่อีกหรือ อย่าคิดว่าตนเองเป็นองค์ชาย จะกระทำการเยี่ยงไรก็ได้ ไม่เคยมีใครสอนเขาบ้างเลยรึ! ว่าการอยู่เหนือคนที่แท้จริงต้องทำเช่นไร!
อยากรู้ไหม...ว่าทำไมอดีตแม่ทัพเหลียว ถึงได้รับความยำเกรงจากแคว้นหลี่เรา นั่นเพราะเขารู้จักการนอบน้อมต่อผู้อื่น เขาจึงได้รับสิ่งเดียวกันตอบแทน น่าเสียดายแทนองค์ชายของเจ้า หวังเพียงอยากสร้างผลงาน เพื่อก้าวสู่ตำแหน่งรัชทายาท จนลืมนึกไปว่านี่เป็นการฆ่าตัวตาย”
คำพูดของลู่เฉินเซียน เสมือนตบหน้ากองทัพเหลียว เปลี่ยนผู้บัญชาการได้เพียงครึ่งปีก็ก่อสงคราม ซ้ำยังนำความพ่ายแพ้กลับไปให้อับอายผู้คน ความสงบนับสิบปีสลายไปดั่งสายลมเลยก็ว่าได้
“เช่นนั้นข้อสุดท้าย ถือเสียว่าเป็นเรื่องเย้าเล่น จากท่านแม่ทัพของข้าเถิด”
เมื่อถูกสอนเสียจนไปไม่เป็น รองแม่ทัพจำต้องยอมอ่อนข้อ หากยังดึงดันต่อไป สงครามคงไม่จบเป็นแน่ ที่สำคัญคือแม่ทัพฝั่งเขา ไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย นอกจากจะเป็นเพียงคนพิการไปตลอดชีวิต
“นับว่าเจ้ายังมีไหวพริบที่ดีอยู่บ้าง ข้าไม่คิดที่จะสั่งสอนผู้ใดทั้งสิ้น แต่สิ่งที่แม่ทัพของเจ้ากระทำ มันส่งผลเสียมากมายต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะตัวเขาเอง”
เอ่ยจบลู่เฉินเซียนได้ลงตราประทับ เพื่อให้การเจรจาสมบูรณ์ ก่อนจะยื่นส่งคืนให้แก่ทหารนำกลับไปให้แก่รองแม่ทัพเหลียว ทุกคำพูดของชายหนุ่ม ทำให้รองแม่ทัพไม่อาจสบตากับอีกฝ่ายได้เลย
“อ่อ...สนามรบหาใช่ลานฝึก อาวุธไร้ดวงตา อย่าได้เที่ยววิ่งเล่นไปทั่ว หาไม่แล้วแม้แต่ชีวิตก็ยากที่จะรักษา”
ลู่เฉินเซียนหมุนกายก้าวตรงไปยังม้าของตน ก่อนจะเหวี่ยงกายขึ้นบนหลังม้า ควบตรงไปยังเนินเขาเบื้องหน้า ซึ่งท่านแม่ทัพและทหารสกุลลู่ กำลังนั่งรอเขาอยู่
บนเนินเขา
ท่านแม่ทัพลู่มองไปยังบุตรชาย ที่กำลังควบม้าตรงมาหาเขาและทุกคน เขาไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลา ว่าผลจะออกมาแบบไหน เพราะคนเช่นลู่เฉินเซียนมากด้วยวาจา
เรื่องราวที่ว่าใหญ่โต มักจะจบลงได้โดยง่าย ด้วยกลยุทธ์ในการพูดของบุตรชายคนเล็ก สมกับตำแหน่งกุนซือยิ่งนัก ต่างจากเขาและบุตรชายคนรอง ที่เน้นการใช้กำลังมากกว่าคำพูด จึงไม่เคยออกหน้าเจรจาเองเท่าใดนัก
“สำเร็จแบบอีกฝ่ายจำใจกระมังขอรับ” ลู่ฉงเอ่ยกับบิดา โดยที่สายตาของเขา จับจ้องอยู่ที่น้องชาย
“ฮึ! พวกปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม จองหองได้สักเพียงใดกัน”
ท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน ตบฉาดลงบนเข่า เขาไม่อยากจะเชื่อว่าฮ่องเต้เหลียวจะไร้สติปัญญาถึงเพียงนี้ ปล่อยโอรสที่กระหายผลงาน ทำให้เขาที่ชรามากแล้ว ต้องควบม้าออกศึก เหนื่อยจนแทบสิ้นใจ แต่เพราะคำว่าแม่ทัพใหญ่ค้ำคออยู่ ทำให้เขาต้องตบอกประกาศก้องว่ายังไหว
“ท่านแม่ทัพเป็นอันใดไปขอรับ”
เพียงก้าวแรกที่มาถึง ลู่เฉินเซียนก็เริ่มยียวนบิดา เมื่อเห็นท่าทางของผู้เป็นพ่อ ชายหนุ่มจึงยกยิ้มร้ายขึ้นในทันที
“พวกนั้นเสนอสิ่งใดมาบ้างเล่า เจ้าลงนามโดยที่ดูรายละเอียดดีหรือไม่”
“ย่อมต้องดีสิขอรับ เสียแต่ข้อสุดท้ายมันน่าเจ็บใจนัก”
ชายหนุ่มเริ่มการกลั่นแกล้งบิดา ซึ่งมันคือความบันเทิงของครอบครัวโดยแท้ เพราะไม่กี่วันก่อน เขาเพิ่งถูกคนเป็นพ่อ กลั่นแกล้งเสียจนยับเยิน ครานี้เขาขอหยอกคืนสักเล็กน้อย พอให้คนแก่กระชุ่มกระชวย
“คือสิ่งใด!”
“ขอสุดท้าย พวกมันขอศีรษะท่านแม่ทัพขอรับ”
“แล้วพวกมันบอกหรือไม่ ว่าเป็นแม่ทัพคนใด กองทัพเรามีแม่ทัพตั้งห้าคนเชียวนะ มันระบุชื่อมาหรือไม่เล่า ข้าจะได้ตัดไปส่งให้มันเสีย จะได้ไม่เกิดสงครามอีก”
สิ้นคำพูดของท่านแม่ทัพลู่ เหล่าแม่ทัพที่เหลือถึงกับอ้าปากค้าง แม้จะรู้ดีว่านี้คือคำหยอกเย้า แต่ทั้งหมดก็ร่วมใจกัน ทำตาโตเหลือกค้าง จนลู่เฉินเซียนรู้สึกหมั้นไส้คนของบิดายิ่งนัก ที่รู้ทันเขาเสียทุกเรื่อง
“ของท่านแม่ทัพใหญ่ แซ่ลู่ขอรับ”
“เจ้าพูดจริงหรือล้อข้าเล่นอยู่ ห๊ะ!”
“ไยข้าต้องล้อเล่นด้วยเล่าขอรับ องค์ชายเหลียวเป็นพวกไม่ยอมแพ้ท่านแม่ทัพน่าจะรู้แก่ใจดี”
สายตาของท่านแม่ทัพใหญ่หรี่เล็ก ก่อนจะกวาดมองไปยังทหารติดตามบุตรชายไปเจรจาเมื่อครู่ ทุกคนต่างลดสายตา ลงมองยังปลายเท้าตนเองเสีย จริงอยู่เรื่องขอศีรษะจากเหลียว หาใช่เรื่องโกหก แต่มันมิใช่หัวของท่านแม่ทัพใหญ่ อย่างที่ท่านกุนซือกล่าวมา
เรื่องที่ท่านกุนซือพูด ล้วนใส่สีตีไข่ทั้งสิ้น แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อสกุลลู่ขึ้นชื่อ เรื่องการกลั่นแกล้งกันเอง จนเป็นที่เลื่องลือ แต่กระนั้นท่านแม่ทัพใหญ่ก็ไม่เคยจดจำ ว่าบุตรชายคนที่สามเป็นคนเช่นไร
“เจ้าพวกลูกสุนัข มันช่างกล้าท้าทายข้านัก เจ้ามิได้ใส่สีตีไข่แน่หรือเฉินเซียน”
ท่านแม่ทัพลู่ยังมีข้อกังขา ในคำบอกเล่าของบุตรชายอยู่มิน้อย มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าลู่เฉินเซียน มักจะเพิ่มเติมคำพูดให้เกินจริงอยู่เสมอ โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับเขา และเป็นเขาอีกนั่นล่ะ ที่มักหลงเข้าไปในกับดักของบุตรชายอยู่เสมอ
“ท่านแม่ทัพ เห็นสีในมือข้าหรือไม่เล่าขอรับ ส่วนไข่ที่ข้าติดตัวไปคงให้ผู้ใดมิได้ท่านก็รู้ดี”
