6. เมื่อเสียงของหัวใจดังขึ้นอีกครั้ง
ค่ำคืนที่ความสงบกลับมาอีกครั้ง...แต่มันช่างเปราะบางกว่าที่คิดแม้ภาวะย้อนแสงจะสลาย ท้องฟ้าเปิดโล่ง เงามืดในทุ่งเวทมนตร์มลายหาย ดอกไม้แสงกลับมาบานสะพรั่งอีกครั้ง แต่ในหัวใจของพีรภัสนาคินทร์นั้นกลับว้าวุ่นยิ่งกว่าเดิม
เขานั่งเคียงข้างๆญาณิสาที่หลับใหลในวิหารกลางทุ่งแสง กลางหมู่แสงหม่นที่เงียบสงบจนน่าใจหาย
เธอใช้พลังเพลงลำนำอย่างสุดกำลัง เสียงที่ปลุกโลกให้ตื่นจากความเงียบ...แต่ผลคือร่างกายของเธออ่อนแรงจนแทบไร้ลมหายใจ สีหน้าของเธอนิ่งสงบ แต่ไม่ใช่เพราะฝันดี เธอกำลังอยู่ใน “ภาวะฝันลึก” สภาวะที่จิตวิญญาณหลุดลอยเข้าสู่ “ชั้นใน” ของตัวตน
“เสียงแห่งลำนำเพลงแรก...ได้ถูกปลุกแล้ว”
เสียงของผู้เฒ่าพยากรณ์ที่เคยเลือนหายไปจากโลก กึกก้องในห้วงความคิดของเขา
“แต่ยังมีเพียงลำนำลับอีก...ที่แม้แต่เงาดำยังหวาดหวั่นจะเอ่ยถึง”
ทันใดนั้น...
ตึงงง!!
พื้นดินใต้วิหารสั่นสะเทือน คล้ายบางสิ่งกระเพื่อมใต้ผืนโลก สายลมเวทเริ่มแปรปรวน และจากใต้พื้นลึก เสียงกระซิบของความมืดก็ดังขึ้น
“เสียง...เจ้าฟื้นคืน...งั้นหรือ...”
ไม่ใช่เสียงกระซิบอ่อนแรง แต่มันคือเสียงคำรามในความเงียบ คล้ายอากาศสั่นสะท้านเพียงเพราะ “บางสิ่งกำลังคิดจะพูด”
พีรภัสนาคินทร์ผุดลุกขึ้น ดาบในมือของเขาส่องประกายแสงทันที
พื้นกลางวิหารแยกออก ม่านหมอกสีขาวพวยพุ่ง และร่างหนึ่ง...ก็ปรากฏขึ้น
สิ่งนั้นไม่ใช่เงาอีกต่อไป แต่คือร่างประหลาดที่ประกอบด้วยเส้นใยพลังงานบริสุทธิ์ ถูกกลืนด้วยความว่างเปล่า สูงเกินมนุษย์ ไม่มีใบหน้า ไม่มีเสียง มีเพียงแสงสีขาวจางที่ลอยอยู่บริเวณกลางอก
พีรภัสนาคินทร์ถอยก้าวหนึ่ง ก่อนเอ่ยชื่อมันอย่างแผ่วเบา
“...อัคนีขาว”
มันคือ “แก่นแท้ของเงา”
“ภาวะย้อนแสงที่เราสู้...เป็นแค่เปลือกนอก” เขากระซิบ พลางมองญาณิสาที่ยังไม่ฟื้น
“แต่นี่คือ ‘แก่นเงา’ สิ่งที่เกิดจากความสิ้นศรัทธาของมนุษย์...มันคือเสียงกรีดร้องของผู้คนที่โลกไม่เคยรับฟัง”
เสียงของอัคนีขาวไม่มาจากปาก แต่มันกึกก้องออกมาจากตัวตนเย็นเยียบของมัน
“เจ้า...คือผู้ทำลายสมดุลแห่งความเงียบ”
“เจ้า...ฟื้นเสียงที่ควรถูกลืมไปแล้ว”
“เสียงของเธอไม่ใช่คำสาป”
พีรภัสนาคินทร์ตะโกนกลับ ดวงตาของเขาสั่นระริกแต่แน่วแน่
“มันคือ...ชีวิต คือหัวใจ คือสิ่งที่เราทุกคนต้องได้ยินอีกครั้ง!”
ดาบในมือเขาพุ่งแสงใส่ร่างอัคนีขาวทันที
ฉึก!
แต่แสงนั้นถูกกลืนหายโดยเส้นใยพลังงานราวไม่มีวันหลุดรอดจากเงื้อมมือของมัน
“เสียง...ข้า”
“แสง...หลอก”
“โลก...ควรเงียบอีกครั้ง”
สายฟ้าฟาดลงกลางวิหาร เสาโบราณพังครืน ม่านเวทป้องกันพังทลายดั่งไม่เคยมี
ญาณิสาขยับร่างเล็กน้อย ดวงตาเธอเริ่มเปิดขึ้นช้า ๆ ใบหน้าซีดเซียว แต่มุมปากเผยแววปวดร้าวลึก เธอกำลังฝัน...ฝันถึงเสียงในอดีตที่กลืนกินหัวใจ
“ข้าเคยร้องเพลงให้เธอฟัง...”
“แต่สุดท้ายข้ากลับถูกลืม...”
ในความฝันนั้น เธอเห็นเด็กหญิงในชุดขาดรุ่งริ่งยืนอยู่ในความมืด เด็กคนนั้นคือเธอเอง...ในชาติที่ลืมเลือน
กลับสู่โลกจริง
อัคนีขาวขยับอีกครั้ง หมายจะจู่โจม พีรภัสนาคินทร์ไม่รอช้า เขาใช้ร่างของตนบังญาณิสาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง
“ผมสัญญา...” เขากระซิบกับเธอ แม้ไม่รู้ว่าเธอได้ยินหรือไม่
“ผมจะไม่ให้ใครแตะต้องณิสาอีก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...แม้ต้องแลกด้วยลมหายใจของผมเอง”
ทันใดนั้น...
เสียงเพลงเบา ๆ ดังขึ้นจากเบื้องหลัง
ญาณิสาลุกขึ้น ใบหน้ายังซีดเซียว แต่ดวงตาเธอสงบนิ่ง เธอยกมือแตะสร้อยที่อก ก่อนเปล่งเสียงด้วยจังหวะที่สั่นสะเทือนความเงียบ
♪ “เมื่อโลกเงียบ เราจึงฟังหัวใจ...” ♪
♪ “เมื่อเสียงลับหายไป สิ่งจริงยิ่งสะท้อน...” ♪
เสียงนั้น...แม้แผ่วเบา กลับไหวสะท้านเส้นใยพลังงานของอัคนิขาว คลื่นเสียงนั้นมิได้เพียงโจมตี แต่มัน “ปลุกความทรงจำ” ของสิ่งที่เคยไร้หัวใจ
พีรภัสนาคินทร์มองเธอ รอยยิ้มบางแต่งแต้มบนใบหน้าเปื้อนเหงื่อของเขา
“ผมเคยบอกไหม...ว่าเสียงของคุณ คือสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังเชื่อในแสง”
ญาณิสาหันมาสบตาเขา ดวงตาเธอมีน้ำตารื้น
“ฉันต่างหาก...ที่ต้องขอบคุณที่คุณอยู่ตรงนี้เสมอแม้ในความเงียบ...คุณยังเป็นเสียงที่คอยปลุกฉันให้ตื่น”
เขายื่นมือไปจับมือเธอเบา ๆ ท่ามกลางม่านเวทที่ยังคงพังครืนรอบตัว
เสียงของเธอ...เสียงของใจทั้งสอง...ดังขึ้นอีกครั้ง
และแม้โลกจะกลับมาเงียบ แต่พวกเขารู้ดีว่า “เสียงที่แท้จริง” ...เพิ่งจะเริ่มขึ้น
