คุณหมอจางลู่ซือ 1.1
คุณหมอจางลู่ซือ
จางลู่ซือ เธอคือแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในแผนกสาขาเวชกรรมเกี่ยวกับด้านศาสตร์ผิวหนังเป็นอันดับต้นของประเทศ
ไม่มีใครในประเทศและวงการเสริมความงามไม่รู้จักเธอ
นอกจากนั้นเธอยังมีความเฉลียวฉลาดในเรื่องการบริหารธุรกิจ ด้วยอายุ และประสบการณ์ที่สั่งสมมานานจึงทำให้เธอเปิดคลินิกสถาบันความงามและมีสาขามากมายภายใต้ชื่อแบรนด์ของตัวเอง
แต่ด้วยศักยภาพความรู้ความสามารถ และมันสมองที่เธอมี เมื่อเธอต้องเข้าสังคมจึงมักจะทำให้ถูกมองด้วยสายตาไม่พอใจหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในงานการกุศลที่ทุกองค์กรมักจะมีการเรี่ยไรเงินบริจาคสำหรับการทำสาธารณกุศล
แต่สำหรับเธอแล้วมันก็เป็นเพียงแค่การเปิดตัวงานแบบบังหน้าเท่านั้น เพราะที่จริงฉากหลังมันคือการฟาดฟันกันของธุรกิจคลินิกเสริมความงาม
“สวัสดีค่ะคุณหมอจาง วันนี้แต่งตัวสวยมากเลยนะคะจะขึ้นเวทีรับรางวัลอะไรหรือเปล่า”
เจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานเกี่ยวกับส่งเสริมการประชาสัมพันธ์เดินเข้ามาทักทายตามปกติ แต่ตัวของหญิงสาวรู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้ามีนิสัยเป็นนกสองหัว มักจะชอบคาบข่าวจากฝั่งของเธอเพื่อที่จะเอาไปมอบให้อีกฝ่ายอยู่เสมอ แต่นั่นก็เป็นไปตามเม็ดเงินที่ได้รับการไหว้วานมาจากฝั่งตรงข้าม ที่อยากจะรู้ถึงความลับในการทำงานและการพัฒนาเกี่ยวกับคลินิกของเธอ
“ขอบคุณนะคะที่ชม แต่บังเอิญว่ามันก็เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะแต่งตัวให้มันดูดีอย่างนี้อยู่แล้ว คงจะแต่งตัวให้ดูซอมซ่อกว่านี้ไม่ได้เพราะว่าที่นี่เต็มไปด้วยคนมีเงิน ที่สำคัญฉันจำได้ว่าวันนี้จะมีนายกเทศมนตรีเดินทางมาเพื่อที่จะร่วมนั่งฟังการบรรยายถึงการพัฒนาเวชกรรมในอุตสาหกรรมเสริมความงามด้วย ก็เลยต้องแต่งตัวให้ดูดีสักนิดน่ะค่ะ” เธอตอบออกไปอย่างมีมารยาท
แต่คำตอบที่เฉียบขาดและหลักแหลมทำให้อีกฝ่ายเข้าใจแล้วว่าตนกำลังถูกเพ่งเล็ง
เมื่อรู้ว่าไม่ได้ข้อมูลอะไรกลับมา พิธีกรสาวคนนั้นจึงรีบเดินหลบฉากออกไป จางลู่ซือรู้สึกเบื่อหน่ายกับเล่ห์กลทางธุรกิจแบบนี้เหลือเกิน
หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในสมาคมเพียงแค่พักใหญ่เท่านั้นก่อนที่จะเดินทางกลับ โดยมีรางวัลถือติดมือกลับบ้านในครั้งนี้ด้วย
นี่จึงทำให้คนที่มาร่วมงานต่างอิจฉากันจนตาลุกวาว
“พวกเราดูนั่นสิ หมอจางได้รางวัลกลับไปอีกแล้ว
เป็นเพราะอะไรกันนะ ผลิตภัณฑ์ของเธอถึงได้มีคนนิยมมากกว่าผลิตภัณฑ์คนอื่น ทั้งที่แพทย์คนอื่นก็เรียนจบมาจากสถาบันเดียวกัน” แขกในงานคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความอิจฉา
“ใครจะไปรู้ ก็เธอคนนั้นนอกจากหัวดีแล้วก็มากไปด้วยความสามารถ แต่กลับไม่เป็นที่ชอบใจของใคร นั่นก็คงจะเป็นเพราะหล่อนหยิ่งยโสเกินไป ดูสิ...แค่คลินิกของหล่อนได้รับรางวัลหลายปีซ้อนกันก็เท่านั้น แต่ทำหน้าทำตาเหมือนกับรางวัลนี้จะอยู่กับหล่อนไปตลอดชีวิตอย่างนั้นแหละ”
ผู้หญิงอีกคนพูดขึ้น น้ำเสียงของหล่อนรู้ได้ทันทีว่าไม่ได้ชอบหรือถูกชะตากับจางลู่ซือเลย
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย จริงสิ ฉันได้ยินว่าพนักงานในคลินิกก็ยังพากันบ่นว่าปวดหัวกับความเจ้าจี้เจ้าการและความเจ้าระเบียบของหมอจาง แบบนี้ใครจะอยากไปอยู่ใกล้”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอย่างเมามัน ไม่มีใครคาดคิดว่าทุกอย่างที่กำลังนินทาอยู่นั้นจะผ่านเข้าหูของอีกฝ่ายทั้งหมด
จางลู่ซือหมุนตัวกลับมายืนกอดอกด้วยท่าทีที่สง่างามทั้งที่เธอยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูงถึงสี่นิ้ว สายตาของเธอมองมายังเหล่าแพทย์และเภสัชกรที่มาร่วมงานแต่ไม่เคยได้รางวัลอะไรกลับไปเหมือนอย่างตนด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม แต่สายตากลับไม่ยิ้มด้วย
“เสียใจตอนนี้ก็คงจะยังไม่สายเกินไปใช่ไหม พวกคุณควรจะรู้เอาไว้ด้วยว่า คนเราไม่ได้ใช้เพียงแค่ปริญญาที่ได้มาจากสถาบันเป็นเครื่องส่งเสริมบุคลิกภาพหรือคุณภาพชีวิตของตัวเองเพียงอย่างเดียวหรอกนะ แต่คนเราทุกคนต้องมีมันสมองด้วย
และที่สำคัญจะต้องมีความกล้าได้กล้าเสีย กล้าตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อที่จะพลิกฟื้นเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น แต่สำหรับคนที่เอาแต่วิ่งตามคนอื่นไปเรื่อยโดยไม่มีเป้าหมายให้ตัวเอง นั่นก็คงจะทำได้เพียงแค่มองตามกันอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้วเมื่อไม่ได้ดั่งใจก็เอามานินทาลับหลัง”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของจางลู่ซือต่างหยุดนิ่งอยู่กับที่เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะสายตาที่มองมานั้นกลับทำให้ทุกคนอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก
